เทศน์บนศาลา

ปลูกโพธิ์

๑๓ ต.ค. ๒๕๔๗

 

ปลูกโพธิ์
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๔๗
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมนะ ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะไง ธรรมะถ้าพูดภาษาโลกๆ ก็ธรรมะคือธรรมชาติ สภาวธรรม สภาวธรรมนี้เป็นธรรมชาติ แต่ถ้าพูดถึงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอโก ธัมโม ธรรมอันเอกนะ เหนือธรรมชาติ เหนือธรรมชาติแต่อาศัยธรรมชาติขึ้นไปก่อนเพราะเราเกิดมาจากธรรมชาติ เกิดมานะ พ่อแม่มีครอบครัวถึงจะมีเราเกิดขึ้นมา เราเกิดขึ้นมาแล้วเป็นสภาวะธรรมชาติมีอยู่ เพราะดำรงเผ่าพันธุ์ของสัตว์โลกต้องมีอย่างนี้ตลอดไป แล้วเวลาพระออกบวชล่ะ ผู้ที่ออกประพฤติปฏิบัติไม่มีครอบครัวล่ะ แล้วดำรงเผ่าพันธุ์อย่างไร

บารมี ๑๐ ทัศขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ไง เนกขัมมบารมี ทานบารมี ศีลบารมี การจะสร้างเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องสร้างบุญญาธิการมามหาศาลเลย แต่เวลาเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็ยังมีความทุกข์อยู่ในหัวใจ มีความทุกข์นะ มีครอบครัวมีลูกเหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาแล้วเกิดมาเพื่อให้สมกับโลกไง ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกไปออกบวชเขาจะติฉินนินทาเอาได้

จนในปัจจุบันนี้นักวิชาการเขาทำวิจัยกัน เขาบอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่โดนปฏิวัติ เขาขับไสออกไปให้ออกจากราชวังถึงได้หนีออกไปบวช นักวิชาการเขาทำการวิจัยกันอย่างนี้นะ เรื่องของวิชาการไง เรื่องของความคิดของโลกไง โลกมองโดยสามัญสำนึก มองโดยวิทยาศาสตร์โดยสิ่งที่จับต้องได้ แต่ไม่สามารถมองเข้าไปถึงเรื่องของจิตใจได้ เรื่องของความสุขความทุกข์นะ วิทยาศาสตร์เจริญขนาดไหน มันก็เอาความทุกข์มาให้กับใจดวงนั้น ทุกๆ ดวงใจ ทุกๆ ดวงใจอาศัยวิทยาศาสตร์ อาศัยความเจริญของโลก อาศัยความเป็นไปของโลกนี้อยู่อาศัย มีความสะดวกมีความสบาย แต่โบราณ คนเราต้องปากกัดตีนถีบ ตามแต่จะมีอาหารการกินมาแต่ละมื้อ ชีวิตมันก็ดำรงไปอย่างนั้น แต่ในปัจจุบันนี้อาหารการกินจะมีเป็นโรงงานผลิตให้เลยแล้วมาส่งให้ถึงที่ด้วย ถ้าเรามีเงินมีทองแล้วเรามีความสุขมากขึ้นไหมล่ะ มันมีแต่ความเร่าร้อนเผาดวงใจเห็นไหม

ทางวิชาการเขาบอกว่าเจ้าชายสิทธัตถะโดนปฏิวัติแต่ไม่เป็นความจริง เพราะสิ่งที่จะหนุนให้เจ้าชายสิทธัตถะออกประพฤติปฏิบัติ มันเป็นสิ่งที่ว่าเพราะสร้างมาเป็นพระโพธิสัตว์มา สิ่งที่สร้างสมมาเป็นพระโพธิสัตว์มา สิ่งนั้นเกื้อกูลมา สิ่งนี้เกื้อกูลมา สิ่งนี้ให้ออกไง ให้ออกประพฤติปฏิบัติ ให้ออกค้นคว้า เพราะพระโพธิสัตว์ตั้งใจปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่บารมี ๑๐ ทัศ ๑๐ ทัศไง เนกขัมมบารมี

สิ่งนี้มีอยู่ โลกก็มีอยู่โดยของเขาอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าพระออกบวชแล้วจะทำให้โลกเขาไม่เป็นไปไง โลกจะไม่มีผู้ดำรงเผ่าพันธุ์ นี่เวลาพูดกัน เวลาที่ว่าเรามีในครอบครัวของเรา เราจะต้องการสิ่งนี้ ต้องให้คนสืบสกุลของเราไปไง สกุลของเรา สกุลของเรามาเห็นไหม ดูสิ ดูอย่างคนเขาย้ายถิ่นมา เขาขอนามสกุลใหม่ เขาตั้งรกรากใหม่ เขาสร้างครอบครัวใหม่ นี่มันก็เป็นสกุลใหม่ของเขาตลอดไป สกุลนี้เป็นเรื่องของโลกนะ เรื่องของโลก เรื่องของความเป็นไป การสืบสกุล สืบสภาวะแบบนั้น

แต่การสืบแบบพระโพธิญาณสิ การสืบเห็นไหม การสืบให้เกิดปลูกโพธิ์ไง ถ้าเราเกิดปัญญาของเราขึ้นมาได้ เราได้ปลูกโพธิ์ของเรา เราเข้าถึงธรรมไง ถ้าเข้าถึงธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกประพฤติปฏิบัตินะ คนเกิดมาในโลกนี้มีทุกข์ทั้งหมดสิ่งที่เป็นทุกข์ทั้งหมด สภาวธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะออกประพฤติปฏิบัติ มันก็สะเทือนใจมาพอสมควรแล้ว เห็นสภาวธรรมมันสะเทือนใจมาก เห็นยมทูตทั้ง ๔

ทั้งๆ ที่ว่าไม่น่าเชื่อนะว่าคนเกิดมาจนมีครอบครัว ไม่เคยเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ในพระไตรปิฎกว่าไว้อย่างนั้นนะ เพราะเหตุว่าพระเจ้าสุทโธทนะผู้เป็นพ่อต้องการให้ลูกได้สืบราชสมบัติต่อไป อยากให้เป็นจักรพรรดิ เป็นกษัตริย์ สิ่งนี้มันทำได้ คนไหนคนที่มาอยู่ด้วยพอคนไหนมีอายุมากหน่อยก็เปลี่ยนออก เอาหนุ่มเอาสาวเข้ามาอยู่ตลอดเวลา ให้คิดว่าโลกนี้มีเฉพาะแบบนั้นไง ก็เข้าใจว่าชีวิตนี้จะอยู่อย่างนี้ตลอดไป

จนออกเที่ยวสวน ยมทูตทั้ง ๔ ถึงได้แปลงกายมา เห็นตั้งแต่เด็กเห็นไหม คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย “โลกมีอย่างนี้หรือ?” นี่สิ่งนี้มีอยู่นะ เพราะมีอยู่ เพราะมันสะเทือนหัวใจมาก นี่สภาวธรรม สิ่งที่สภาวธรรมคือมันสะเทือนหัวใจไง

อย่างเช่นเราปัจจุบันนี้ เราเป็นชาวพุทธนะ เราเกิดมาท่ามกลางพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องแสวงหาสิ่งนี้มหาศาลเลย มหาศาลเพราะมันเป็นสิ่งที่ลึกลับมาก ธรรมที่เหนือธรรมชาติไง ถ้าเป็นธรรมชาติ มันก็สิ่งที่ขับเคลื่อนไปกับธรรมชาตินี้ เราเข้าใจว่าสภาวะเป็นธรรมชาติ เราเห็นสภาวะเป็นธรรมชาติแล้วเราก็วางไว้ตามความเป็นจริง เพราะเราไม่มีสิ่ง...เราไม่สามารถไปต่อสู้รบตบมือกับธรรมชาติได้ อย่างเวลาเกิดพายุเกิดแผ่นดินไหว เราจะไปสู้อะไรกับเขาได้ เพราะธรรมชาติเป็นสภาวะแบบนั้น

แต่เวลาเกิดสภาวธรรมอันเป็นความเป็นจริงสิ สภาวธรรมคือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ไตรลักษณะ” พระไตรลักษณ์ต่างๆ เป็นสภาวธรรมที่เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แต่เหตุที่เป็นธรรมชาติอันหนึ่งเพราะมันเกิดดับ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าสิ่งนี้ไง สภาวธรรม สภาวธรรมที่เป็นอนัตตาสิ่งที่ความเป็นไป สิ่งนี้เราต้องสร้างสมขึ้นมา แต่ผลที่เกิดขึ้นสิ สิ่งนั้นเหนือธรรมชาติไง เหนือธรรมชาติเพราะว่ามันเป็นอฐานะ มันเป็นสิ่งที่จะเคลื่อนไปกับธรรมชาตินี้ มันเป็นเอโก ธัมโม มันเป็นหนึ่งเดียวไม่มีสอง

โลกนี้เป็นของคู่ สุขคู่กับทุกข์ มืดคู่กับสว่าง สิ่งใดต้องมีเกิดแล้วมันต้องมีดับ มันเป็นของคู่ไปตลอด เพราะมันขับเคลื่อนไป ธรรมชาติเป็นสภาวะที่ว่าสสารที่มีการปรับเปลี่ยน มีการสับเปลี่ยนกันไป มันสิ่งหนึ่งสูญไปมันก็เกิดสภาวะสิ่งใหม่ เกิดสภาวะสิ่งใหม่ สิ่งนี้เป็นธรรมชาตินะ แต่จิตมันลึกลับกว่านั้นอีกล่ะ เวลามันเกิดมันตาย เกิดตายถ้าเป็นธรรมชาติมันก็ขับเคลื่อนไปตามธรรมชาติสิ

แต่อันนี้มันมีกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คนทำคุณงามความดีมหาศาล ความเกิดจะมีความร่มเย็นเป็นสุขในบุญพาเกิด เวลาคนมีความทุกข์ ครอบครัวเดียวกันพ่อแม่มีฐานะมาก แต่เวลาลูกที่เกิดขึ้นมาจะมีฐานะจะมีความสุขมาก แต่เวลาเราเกิดครอบครัวนั้นอาจมีความเปลี่ยนแปลงไป เราเกิดมาในสถานะที่ว่าไม่มีความสุขกับครอบครัวนั้น เราเกิดมาในสภาวะของทุกข์ จนเขาโทษได้นะว่าลูกคนนี้เกิดมาทำให้ครอบครัวนั้นมีความเป็นไป นี่ความเป็นไปมันเป็นสภาวะกรรมไง

กรรมที่เกิดกับการกระทำของใจดวงนั้น แม้แต่เกิดในครอบครัวเดียวกัน ทำไมพี่เราน้องเราเกิดมามีความสุข ทำไมเราเกิดมาเจอสภาวะแบบนี้ สิ่งนี้ให้เห็นสภาวะตามความเป็นจริง แล้วพูดไม่ใช่ให้น้อยเนื้อต่ำใจนะ พูดให้ย้อนกลับมาว่า นี่กรรม การกระทำสิ่งนี้สำคัญมาก สิ่งที่การกระทำสำคัญมาก เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ถึงเข้าใจตามความเป็นจริงทั้งหมดไง เข้าใจตามความเป็นจริงทั้งหมด แล้ววางสิ่งนี้ไว้ตามความเป็นจริง ใจนี้พ้นออกไปจากกิเลส

ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา วันคืนล่วงไปล่วงไป วันคืนเดือนปีนี้ไม่สามารถเข้าไปให้ค่ากับใจดวงนั้นนะ ใจดวงนั้นจะมีมืดกับสว่างมันเป็นธรรมดาของมัน โลกนี้เป็นสิ่งที่ธรรมดา อยู่กันเก้อๆ เขินๆ เห็นไหม ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์เป็นสัญญาความจำได้หมายรู้ สังขารคือความคิด ความปรุง ความแต่ง สิ่งที่สืบต่อกับโลกที่สื่อสารกับโลก สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ว่าอาศัยกันไปเท่านั้นนะ ไม่มีคุณค่ากับใจดวงนั้น ธรรมที่เหนือธรรมชาติเป็นสภาวะแบบนั้น ถึงไม่มีสิ่งใดจะเข้าไปกระทบกระเทือนกับใจดวงนั้นได้ ใจดวงนั้นมีความสุขล้วนๆ นะ เกิดจากความที่ว่าเกิดมาสร้างบุญกุศลมาเป็นพระโพธิสัตว์ไง แล้วค้นคว้าสิ่งนี้อยู่ถึง ๖ ปี

เราเกิดมาท่ามกลางพระพุทธศาสนา เราเป็นชาวพุทธนะ เราเป็นชาวพุทธ เราเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เราเป็นอุบาสก อุบาสิกา แล้วเรามีความเชื่อเรามีศรัทธา เรามีความเชื่อมีศรัทธาเราถึงได้ออกบวชเป็นนักรบนะ เห็นไหม บริษัท ๔ อุบาสก อุบาสิกา เขาต้องการบุญกุศลจากนักรบไง นักรบคือเนื้อนาบุญของโลก คือสิ่งที่ว่าธรรมที่มีชีวิตไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ ประกาศธรรมขึ้นมา มีการโต้ตอบ มีการแก้ไขปัญหาไปเฉพาะหน้าๆ ตลอด แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ววางศาสนาไว้ ๕,๐๐๐ ปี นี่กึ่ง ๒,๕๐๐ ปีมานี้ ศาสนานี้มีอยู่ในตู้พระไตรปิฎกไง เป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต สิ่งที่ไม่มีชีวิตเราค้นคว้าเราศึกษาขึ้นมาเพื่อให้เรามีศรัทธามีความเชื่อไง เราจะไม่เชื่อใครเลยเพราะเรากลัวคนหลอกลวงเรา กลัวคนจะเอารัดเอาเปรียบเรา เราก็รื้อค้นพระไตรปิฎกสิ อ่านพระไตรปิฎกไปขนาดไหน อ่านไปมีศรัทธานะ ขนาดว่าขนพองสยองกล้านะ เวลาอ่านไปสะเทือนหัวใจมาก สะเทือนหัวใจ

แต่เวลาออกประพฤติปฏิบัติ เราจะทำอย่างไรล่ะ เราไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์เราคิดอย่างไร เราทำอย่างไร ดูสิ ดูสิว่าเวลาเราจะปลูกต้นไม้ ต้นไม้ต้นหนึ่งกว่าเราจะปลูกได้ กว่ามันจะเจริญเติบโตขึ้นมาได้ มันกว่าจะงอกงามขึ้นมานะ เราต้องรดน้ำพรวนดิน เราต้องสงวนต้องรักษาต้องคอยระวังนะ ใส่ปุ๋ยนะ ต้องกันต้องคอยดูแมลงมันจะเข้ามาทำลายต้นไม้นั้นไหม ดูสิ ความเจริญต้นไม้แต่ละต้นที่มันจะโตขึ้นมามันกินเวลาขนาดไหน

นี้ก็เหมือนกัน วุฒิภาวะของใจของเราเวลามันเจริญเติบโตขึ้นมา มันจะเชื่อสิ่งนี้ มันจะเชื่อขึ้นมาได้อย่างไร สิ่งที่มันเชื่อ เห็นไหม ตู้พระไตรปิฎก เราค้นคว้า ค้นคว้าอย่างนั้น นี่ธรรมที่มีชีวิตนะ ดูสิ ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านเผยแผ่ธรรม ออกไปเผยแผ่ธรรม เทศน์ธัมมจักฯ ก่อน ปัญจวัคคีย์ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันสะเทือนหัวใจเพราะมันเป็นปัจจุบันธรรม เพราะปัญจวัคคีย์ปฏิบัติอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ ๖ ปี นี่หวังเหมือนกัน

ทุกคนจะหวังนะ หวังเหมือนกับในปัจจุบันนี้ โรคที่ไม่สามารถรักษาได้ รอแต่ยา รอแต่ยาอันนี้ก็เหมือนกัน ทุกคนมีความทุกข์ในหัวใจ สิ่งที่เป็นความทุกข์ กิเลสบีบคั้นนี้ไม่ต้องถามกัน ทุกดวงใจจะมีความทุกข์มีความบีบคั้นของใจดวงนี้ กิเลสมันจะบีบคั้นใจดวงนี้ ตัณหาความทะยานอยากเราไม่เข้าใจหรอก ความต้องการของมัน การขับไสของมันน่ะ สมุทัยอยู่ในหัวใจอันนี้ตลอดไป การประพฤติปฎิบัติมันก็มีสิ่งนี้แทรกเจือจานเข้าไปในการประพฤติปฎิบัติของเราตลอดไป

ปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ก็พยายามประพฤติปฏิบัติ พยายามทำความสงบของใจเข้ามาพร้อมตลอดไง สิ่งนี้ปัญจวัคคีย์พร้อมตลอด แต่ไม่มียา โรคถ้าไม่มียารักษาจะทำอย่างไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกประพฤติปฏิบัติก็แสวงหายานี้ไง นี่มรรคญาณเกิดขึ้น อาสวักขยญาณเกิดขึ้นทำลายกิเลส พอทำลายกิเลส นี่ปัจจัตตัง ความเป็นไปของใจมันจะเข้าใจตามความเป็นจริง เพราะเข้าถึงธรรมและสภาวธรรมจะรู้หมด

เวลาครูบาอาจารย์ของเราเข้าถึงธรรม กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วจะไม่ค้าน จะไม่โต้แย้งในความเป็นไปของธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้แต่นิดเดียวเลย เพราะมันจะเหมือนกัน มันจะเห็นสภาวะเหมือนกัน มันสว่างไง เหมือนกับเราอยู่ในที่มืดนะ เราอยู่ในที่มืด มืดมากแต่เปิดไฟขึ้นมามันก็สว่างทันที เห็นไหม ใจที่มันมืดบอดมันไม่เข้าใจสภาวะสิ่งใดเลย มันจะมีความทุกข์บีบคั้น ใจของพระปัญจวัคคีย์เป็นอย่างนั้นนะ เป็นอย่างนั้น รอแต่ยาๆ เตรียมพื้นดินเตรียมปลูกต้นไม้ของตัวเอง

โพธิ คือ ปัญญาไง

โพธิปัญญา เห็นไหม ปลูกโพธิ์ขึ้นมาในหัวใจให้ได้

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะแสดงธัมมจักฯ เห็นไหม เทฺวเม ภิกฺขเว ทางสองส่วนไม่ควรเสพ อัตตกิลมถานุโยคคือทำให้เราลำบากเปล่า แล้วเราในกามสุขัลลิกานุโยค การสุขอยู่ในสมาธิ การติดในสมาธิ การมีความสุขอันนี้ อันนี้ เทฺวเม ภิกฺขเว เทฺวเม คือสองไง ทางสองส่วนนี้ไม่ควรเสพ

“มัชฌิมาปฏิปทา” ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม ธัมมจักฯ ประกาศตรงนี้ไง ถ้าประกาศตรงนี้ พระปัญจวัคคีย์ฟังธรรม ฟังธรรมต่อหน้าไง พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม เพราะสร้างสมบุญญาธิการไว้มากกว่า อินทรีย์แก่กล้าเห็นสภาวะตามความเป็นจริง มีดวงตาเห็นธรรม สงฆ์เกิดขึ้นตรงนี้ไง เผยแผ่ธรรมมา

พระยสะฟัง “ที่นี่เดือดร้อนหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ” สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมขึ้นมานี่ธรรมเกิดจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พวกนั้นเขายังมีความคิดเห็นความแตกต่างนะ เวลาฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดวงตาเห็นธรรม ยสะก็มีดวงตาเห็นธรรม เทศน์สอนพ่อแม่ ยสะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา แล้วพระสงฆ์ ๖๐ องค์ออกเผยแผ่ธรรม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงไปราชคฤห์ ไปเพราะออกประพฤติปฏิบัติแต่แรก แล้วว่าเจ้าชายสิทธัตถะโดนปฏิวัติออกไป ออกประพฤติปฏิบัติออกมาออกจากราชวังมาเป็นเหมือนนักพรตนักบวชผู้ที่ไม่มีศาสนาก็แสวงหาต้องค้นคว้าเอาไง

พระเจ้าพิมพิสารเห็นนะ เห็นมีรูปร่างสวยงามมาก เพราะว่าพระโพธิสัตว์

ถามว่า “มาจากไหน?”

บอกว่า “ออกมาจากราชวัง”

ก็เข้าใจเหมือนกัน แล้วให้กองทัพครึ่งหนึ่ง ให้กลับไปให้กองทัพกลับไปรบเอาราชวัง เอาราชสมบัติคืน

“ไม่ใช่ ออกประพฤติปฏิบัติจริงๆ ออกแสวงหาโพธิญาณจริงๆ”

“ถ้าอย่างนั้นถ้าไม่ไปก็ขอให้ครองราชย์คฤห์คนละครึ่ง”

“ไม่”

“ออกแสวงหาพระโพธิญาณ”

ถึงเวลาออกปฏิบัติพระเจ้าพิมพิสารสัญญาขอไว้ว่า “ถ้าประพฤติปฏิบัติ ถ้าเห็นธรรมแล้วให้กลับมาสอนด้วยนะ”

ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ ๖ ปี พระเจ้าพิมพิสารไปพึ่งใครล่ะ? พึ่งชฎิลทั้ง ๓ สร้างให้เขาอยู่นะ ถือเป็นครูเป็นอาจารย์ไง มีชื่อเสียงมากในราชคฤห์นั้น เพราะมีคนศรัทธามาก ชฎิล ๓ พี่น้องนี่บูชาไฟ บูชาไฟนะ บูชาไฟ ทำตบะธรรม บูชาไฟ กราบไฟ บูชาไฟ อ้อนวอนจุดไฟ ต้องรักษาไฟตลอด ให้ย่างขึ้นไปนอน ให้เอาไฟเผา เผากิเลสไง เข้าใจว่าไฟเผากิเลสแล้วกิเลสมันจะตายไป สิ่งนี้ทั้งๆ ทำอยู่อย่างนั้น บูชาไฟต้องแช่น้ำต้องลุยไฟ นี่ชฎิล ๓ พี่น้องทำกันอยู่อย่างนั้นนะ แล้วชาวเมืองราชคฤห์มีความศรัทธามากนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีเป้าหมายไง ทั้งๆ ที่เขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นผิดจากศาสนา มีฤทธิ์มีเดชมาก เอาพญานาคเอาไว้อยู่ในที่บูชาไฟนั้นนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปสอนพระเจ้าพิมพิสาร เพราะพระเจ้าพิมพิสารเป็นลูกศิษย์ เห็นไหม มองไปที่อาจารย์ของเขานะ พุ่งไปที่อาจารย์ของเขา แล้วไปเข้าไปในอาจารย์ของเขา ไปขอพักกับเขา เขาไม่ให้พักนะ เพราะว่าเขามีกิเลส เขาหวง เขาตระหนี่ของเขาไง เพราะว่ามีลาภมีสักการะของเขา นี่ไม่ให้พัก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “สมณะด้วยกัน เราเป็นนักบวชด้วยกัน ทำไมพักด้วยกันไม่ได้”

ชฎิล ๓ พี่น้องถึงให้ไปพักในโรงไฟ เพราะอะไร เพราะต้องการให้พญานาคที่มีฤทธิ์นั้นทำลาย ให้ฆ่าไง นี่คนที่มีตบะธรรม คนที่มีตบะมีฤทธิ์มีเดชขนาดนั้นนะ แต่ก็กิเลสในหัวใจ มีกิเลสในหัวใจ มันบีบคั้นในหัวใจนั้น แต่ปฏิเสธสิ่งนี้นะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปนอนอยู่ในโรงไฟ เวลาบังคับเอาพญานาคไว้ในบาตร ชฎิล ๓ พี่น้องว่าพรุ่งนี้จะตาย พอมาเห็นก็เห็นยังอยู่ เห็นยังอยู่ “เอ๊ะ! ทำไมมีฤทธิ์ขนาดนั้น มีฤทธิ์ขนาดนี้เนอะ แต่ก็สู้เราไม่ได้ เราเป็นพระอรหันต์” นี่กิเลสจะมีอย่างนี้ตลอดไปนะ

จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำฤทธิ์ทำเดชให้เหนือกว่าๆ

“สมณะองค์นี้มีฤทธิ์มีเดชแต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา”

จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกต่อหน้านะ ว่าให้มองใจของตัว อย่าโกหกมดเท็จ จริงๆ แล้วคือว่าไม่ใช่พระอรหันต์ กิเลสในหัวใจมีใช่ไหม จนชฎิลยอมนะ ยอมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สละพวกบริขารลอยน้ำไปแล้วขอบวชไง เวลาบวชแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมนะ เพราะชฎิลนี้เขาบูชาไฟ บูชาไฟนะ บูชาไฟ เพราะไฟนี้เป็นความร้อน เป็นตบะ เขาเข้าใจว่าไฟนี้จะสามารถเผากิเลสของเขาได้ไง มันเป็นเรื่องของภายนอก

แต่ถ้าเรื่องเป็นภายในล่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ธรรมที่มีชีวิต ตานี้เป็นของร้อน หูนี้เป็นของร้อน อายตนะทั้ง ๖ นี้เป็นของร้อน ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะมันไปเอาสิ่งต่างๆ เข้ามาเผาลนใจไง สิ่งนี้เป็นความร้อนทั้งหมด ชฎิลฟังธรรมไปตลอด ฟังธรรมไป ฟังธรรมไปด้วย กิเลสตัณหาความทะยานอยากเป็นของร้อน โทสะเป็นของร้อน ความโลภเป็นของร้อน สิ่งต่างๆ เป็นความร้อนทั้งหมด ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะมันเป็นโมหัคคินา โทสัคคินา เป็นไฟเผาใจตลอด เผาใจตลอด

มรรคมันจะเกิด เกิดตรงนี้ไง โพธิปัญญามันเกิดนะ ปลูกโพธิ์ได้ในหัวใจของตัวไง เป็นพระอรหันต์ขึ้นมานะ

พอเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา พระเจ้าพิมพิสารจะไปกราบอาจารย์ของตัว ไปเห็นชฎิล ๓ พี่น้องอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอายุน้อยกว่าไง เขาเคารพอาจารย์ของเขา แล้วก็มีความลังเลสงสัยว่าใครเป็นอาจารย์ใคร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกชฎิลว่า “เธอควรทำให้เขาเข้าใจ”

เหาะนะ เหาะขึ้นไปบนอากาศแล้วลงมากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา ข้าพระพุทธเจ้าเป็นสาวก สาวกะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ”

พระเจ้าพิมพิสารสาธุการนะ แล้วฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบันขึ้นมา นี่ปลูกโพธิได้นะ เขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ เขามีความเห็นผิด เขายังปลูกโพธิ เขายังทำความเห็นของเขาขึ้นมาได้ แล้วเราเป็นชาวพุทธล่ะ เราเป็นสัมมาทิฏฐิไหม ถ้าเราเป็นสัมมาทิฏฐิ เราจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร

ดูชาวพุทธเราในปัจจุบันนี้สิ ดูแล้วมันน่าสลดสังเวชไหม เขาไปไหนกัน เขาทำอย่างไรกัน เขาทำขนาดเขาว่าเขาเป็นชาวพุทธ พุทธที่ทะเบียนบ้านไง พุทธที่พ่อแม่เป็นชาวพุทธก็ถือพุทธเหมือนกัน แต่พุทธศาสนานี้ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นผู้ที่ฉลาดมาก วางธรรมไว้กว้างขวางมาก ไม่บังคับ ไม่ขู่เข็ญใคร ใครมีความเชื่อก็เชื่อ เราก็ว่าเกิดมาต้องมีสัญชาติ มีศาสนา ก็ว่าเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธไง แล้วพุทธ พุทธทำตัวอย่างไรกัน พุทธน่ะเข้าใจศีล ๕ นะ เด็กก็ยังท่องไม่ได้นะ นี่ศีล ๕ ก็ไม่เข้าใจ มรรคยิ่งไม่เข้าใจเลย

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอะไร พุทธศาสนาสอนเรื่องอะไร

หัวใจของศาสนาคืออริยสัจไง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สิ่งนี้เป็นความจริงตลอดไป

แล้วเวลาเรานักวิชาการเขาว่า “ทุกข์นิยม ทุกข์นิยม”...มันเป็นความจริง มันไม่ใช่ทุกข์นิยม เพราะคนเราเกิดมาให้มั่งมีศรีสุขขนาดไหน มันก็ว้าเหว่ มันก็มีความระแวง มันก็มีความสงสัย แม้แต่กษัตริย์นะ กษัตริย์สมัยพุทธกาล เวลาบวชแล้วมาบวชประพฤติปฏิบัติจนถึงกับสิ้นกิเลสนะ “ที่นี่สุขหนอๆ สุขหนอๆ”

จนพระไปบอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “พระองค์นั้นทำไมพูดอย่างนั้นตลอดไป สงสัยจะคิดถึงแต่อดีตว่าเป็นกษัตริย์มีความสุข คงจะบ่นถึงอดีต”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเรียกให้เข้าไปหาไง “เธอทำไมบ่นอย่างนั้น”

“เพราะมันสุขจริงๆ แต่ก่อนเป็นกษัตริย์จะนอนก็มีความระแวง จะทำอะไรก็มีแต่ว่า...เพราะอำนาจไง ใครก็ต้องการอำนาจนั้น จะไม่มีความสุขเลย ในชีวิตนี้อยู่กับความหวาดระแวง” นี่กษัตริย์นะ กษัตริย์มีความเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าเราทำบุญคุณงามความดี เรามีฐานมีที่รองรับ กษัตริย์ที่ดีคนก็รัก ประชาชนมีศรัทธา อันนั้นก็รองรับสิ่งหนึ่ง แต่ก็มีสภาวะกรรมเหมือนกัน

ชีวิตขนาดไหนมันก็มีความลังเล มีความอาลัยอาวรณ์มันมีความทุกข์ในหัวใจโดยสัจธรรมความจริง ความจริงมันเป็นสภาวะแบบนั้น ทุกข์ถึงเป็นความจริงไง ทุกข์เป็นความจริงแต่เราไม่ยอมรับความจริง เราพยายามปฏิเสธความจริง เราถึงเข้าถึงธรรมไม่ได้ไง

ถ้าเราจะเข้าถึงธรรม เราต้องเข้าถึงความจริง ถ้าเข้าถึงความจริง เราออกประพฤติปฏิบัติ ออกประพฤติปฏิบัตินะ ทำใจที่มันพร่องให้มันเต็ม ใจมันพร่อง มันว้าเหว่มันไม่มี มันมีตัณหาความทะยานอยาก มันต้องการสิ่งตอบสนองมันตลอด มันแสวงหาขนาดไหน เห็นไหม คนแสวงหาสิ่งที่ว่าบำรุงบำเรอมันแล้วจะมีความสุข มันเป็นไปไม่ได้หรอก ร่างกายจะไม่ให้มันแก่ ให้มันเจ็บให้มันปวด เป็นไปไม่ได้ เราไม่มีความหิวความกระหาย มันเป็นไปไม่ได้ สัจจะความจริงเป็นแบบนั้น

สิ่งที่เกิดขึ้นมา เวลาบอกว่าอริยทรัพย์ ทรัพย์ที่ว่าเกิดเป็นมนุษย์สมบัตินี้เป็นสมบัติที่เป็นอริยทรัพย์มาก...ถูกต้อง เป็นอริยทรัพย์เพราะเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา แต่ความเป็นจริงของสัจธรรม ธรรมที่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นธรรมชาติ เกิดเป็นมนุษย์นี้มีคุณประโยชน์มาก อริยทรัพย์นี้สิ่งนี้เกิดได้ลำบากมาก เพราะต้องมีมนุษย์สมบัติถึงได้เกิดเป็นมนุษย์นี้ พอเกิดเป็นมนุษย์นี้ทำไมมนุษย์นี้ทุกข์นักล่ะ เพราะสภาวะที่เป็นธรรมชาติมันขับเคลื่อนไปไง

แต่สภาวธรรมความเป็นจริงเราไม่เกิดไง เราไม่สามารถปลูกโพธิ์ของเราได้ไง เราไม่สามารถปลูกโพธิ์ของเราได้ เราก็อาศัย ดูในปัจจุบันสิ เราเวลาปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งกว่ามันจะเจริญเติบโตขึ้นมา แต่นี่เราเป็นชาวพุทธ เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเขาอยู่ในป่ากัน เขายึดป่า เขายึดป่าเขาบุกป่ากัน เขาว่าป่าเป็นของเขา ป่าเป็นของเขา ป่าต้นไม้ ต้นไม้เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ต้นไม้ก็เป็นเรื่องของโลกเขา เป็นเรื่องของสมบัติสาธารณะ เราไปยึดเป็นของเราได้อย่างไร สมบัติของเรา ต้นไม้เราได้ปลูกขึ้นสักต้นหนึ่งไหม? เราไม่ได้ปลูกต้นไม้ของเราแม้แต่ต้นเดียวเลย

นี่ก็เหมือนกัน เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วออกประพฤติปฏิบัติ เราศรัทธามาก เรามีความเชื่อมาก ต้นไม้มันเป็นต้นไม้ในป่าทั้งนั้น ต้นไม้เป็นสาธารณสมบัติ ต้นไม้มันเป็นของประเทศชาติ เป็นของประจำโลกเขา มันไม่ใช่ของเรา สภาวธรรมที่เป็นธรรมชาติมันเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วสภาวธรรมของเราล่ะ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติเราจะปลูกโพธิ์ของเราได้ มันต้องเป็นต้องปลูกต้นไม้ของเรา ถ้าเราจะปลูกต้นไม้ของเรา กระถางที่จะปลูกอยู่ที่ไหน แม้แต่เขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ เขายังสามารถปลูกต้นไม้ของเขาได้ เขายังสามารถทำโพธิปัญญาของเขาได้ เพื่อชำระกิเลสของเขาได้

แต่เราเป็นชาวพุทธล่ะ เราเป็นชาวพุทธ เราว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นความเห็นชอบ ความเห็นชอบทำไมเราใช้ชีวิตของเราเป็นอย่างนั้นล่ะ ถ้าเราใช้ชีวิตของเราไปวันหนึ่งๆ “ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด” เราจะต้องตายไปข้างหน้าแน่นอน นี้เราต้องตายไปข้างหน้าแน่นอน สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบของเราอยู่ที่ไหน ถ้าเราความเห็นชอบของเรา เรามีความจำเป็น เราต้องดำรงชีวิตของเราในโลก เรามีความรับผิดชอบ สิ่งนี้เป็นความรับผิดชอบของเรา รับผิดชอบขนาดไหน เราสร้างสถานะขนาดไหน

โบราณของชาวพุทธเรา เวลาแก่จะเฒ่าจะเข้าวัดเข้าวากัน เพราะเตรียมตัวตรงนี้ไง เตรียมตัวว่าเราจะต้องเดินทาง จิตนี้จะต้องออกจากร่างแน่นอน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมไว้แล้วว่า กายกับใจคนละอันกันอยู่ เวลาเราเกิด เราว่าเราเกิดจากครรภ์ของมารดา แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกจิตปฏิสนธินี้สำคัญมาก เวลาเราเกิดขึ้นมานี่เราเป็นครอบครัวหนึ่ง เวลาเราเสียชีวิตไป ไปส่งกันที่เมรุ เราไปส่งกันถึงที่เตาเผาเท่านั้นเอง ไปส่งแต่ร่างกาย เรายึดแต่ร่างกาย เราเสียใจแต่ร่างกายนี้ว่าคนนี้ได้ตายจากแล้ว เป็นที่รัก เป็นที่สงวนของเรามาก เรารักมาก แต่เวลาตายไปแล้วมันสุดวิสัยก็ต้องเอาไปเผา เอาไปทิ้ง

แต่หัวใจของเขาเราไม่เห็น นี่มันก็เป็นความอาลัยอาวรณ์ไง

เขาก็ไม่อยากพลัดพรากอันนั้นจากไป เพราะเขาผูกพันกับเราเหมือนกัน ถ้าผูกพันกับเราเหมือนกันนะ ถึงที่สุดแล้วเวลาเขาตายไปมันก็สุดวิสัยก็ต้องไปตามกรรมนั้น ถ้าตามกรรมนั้น ถ้าบุญกุศลสร้างขึ้นมา เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีสติสัมปชัญญะ มันก็ไปตามเวรตามกรรมนั้น แต่ถ้ามีความผูกพัน เขาก็มาเกิดอยู่ข้างๆ เรา ก็มาเกิดอยู่พัวพันกันไปสภาวะแบบนั้น นี่เรื่องของจิตมันลึกลับมหัศจรรย์มหาศาลเลย

ถ้าเราประพฤติปฏิบัติธรรม เวลาประพฤติปฏิบัติธรรมเราเห็นสภาวะแบบนั้น ขับเคลื่อนไปตามอำนาจของจิตที่มาเกิดไง จิตที่มาเกิด จิตที่มาตายดวงนี้ ถ้าเราเข้าไปทำตรงนั้น นี่จะปลูกโพธิ์จากตรงนี้ไง ถ้าจะปลูกโพธิ์จากตรงนี้ ปัญญามันจะเกิดมาจากไหนล่ะ ถ้าปัญญามันจะเกิดมา เกิดมาจากภาวนามยปัญญา มันถึงจะเป็นปัญญาถึงจะปลูกโพธิ์ได้

แต่ถ้าเราไปศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นไม้ในป่า มันเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วไง ต้นไม้ในป่านี่ต้นมหาศาล ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นต่างๆ มันอยู่ในป่า มันมีของมันอยู่แล้ว ของมันมีอยู่แล้วเราก็ไปเปรียบเทียบไปศึกษาไงว่า นี้คือต้นโพธิ์ นี้คือต้นไทร นี้คือต้นไม้ต่างๆ นี้เป็นต้นไม้ของประจำโลกเขา แล้วต้นไม้ของเรา เราไม่มี ไม่มีเพราะอะไร เพราะเราประพฤติปฏิบัติไม่ถูกไง

เวลาเขาจะปลูกป่ากัน เดี๋ยวนี้ในปัจจุบันเขาจะปลูกป่ากัน เขาปลูกป่ามาก ทางราชการจะปลูกป่ามาก ปลูกป่าแล้วป่าฟื้นขึ้นมาบ้างไหมล่ะ ปลูกป่าปลูกกันแล้วไม่สงวนไม่รักษา เราจะปลูกของเรา เราต้องพรวนดิน เราต้องรดน้ำ เราต้องรักษาต้นไม้เราให้เจริญงอกงามขึ้นมาได้ นี้ปลูกป่ากัน ปลูก ปลูกเพื่อเอางบประมาณ เสร็จแล้วก็มันตายก็ปลูกซ้ำปลูกซากกันอยู่อย่างนั้น

จนในปัจจุบันนี้เขาคิดค้นคว้ากันนะ ขึ้นเครื่องบินแล้วเอาเมล็ดพันธุ์ไปโปรยในป่า มันเกิดเองนะ อย่างนั้นกลับเป็นประโยชน์กว่า ถึงเวลาแล้วนี่มันกี่เปอร์เซ็นต์ที่มันจะเกิด เกิดเองเพราะเวลาฝนตกหน้าฝนจะเอาขึ้นเครื่องบินแล้วโปรยไปในป่า เมล็ดพันธุ์ต้นไม้แดง ไม้มะค่าจะโยนไปในป่าให้มันเกิดของมันเอง มันเกิดของมันเอง

โดยสภาวธรรมมันยังเกิดของมันเองได้ แต่นี้เราจะปลูกป่า เราจะประพฤติปฏิบัติ เราทำเป็นพิธีกรรมกันไง จะต้องทำเป็นพิธีกรรม จะต้องทำเป็นบัญญัติ ต้องเป็นปรมัตถ์ ต้องให้ถูกต้องตามธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็เหมือนกับนักวิชาการเขาปลูกป่ากันน่ะ ปลูกแล้วก็ทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่ดูแลรักษามัน ทำกันเป็นพอเป็นพิธี ทำพอว่าเราเป็นชาวพุทธ เราประพฤติปฏิบัติ

เราเป็นชาวพุทธนะ เราว่าเป็นสัมมาทิฏฐินะ เวลาเราประพฤติปฏิบัติเราไม่สามารถปลูกโพธิ์ของเราได้ เพราะเราทำไม่สมกับความเป็นจริงของกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ เราไม่สามารถฆ่ากิเลสตัณหาความทะยานอยากของเราในหัวใจได้ เพราะเราไม่สามารถดูแลสถานที่ของเราได้ ถ้าเราจะดูแลสถานที่ของเราได้ ป่าเราอยู่ไหน ป่าของเราอยู่ที่ไหน ป่าของเราเห็นไหม ความโลภ ความโกรธ ความหลงของเราอยู่ที่ไหน ความฟุ้งซ่านของเราอยู่ที่ไหน ความทุกข์ความกังวลเราอยู่ที่ไหน

เรานี่เกาะเกี่ยวไปทั้งหมดเลย เกาะเกี่ยวตั้งแต่ครอบครัว เกาะเกี่ยวไปจนต่างๆ เกิดมาแล้วจะต้องมีสถานะ มีความอยาก อยากในสมบัติ อยากในลาภ อยากมีรถ อยากมีชื่อเสียง อยากให้เขานับหน้าถือตา...กิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งนั้นเลย ถ้าเราปฏิบัติในสถานะอย่างนี้ เอาสิ่งนี้มาหนุน มันก็เท่ากับไม้ในป่าแล้วเราไปจับจองไปยึดไปทับสิทธิ์ของเขา ถ้าเขาเอาคืนเมื่อไหร่ เราก็จะไม่มีที่อยู่ที่อาศัยเมื่อนั้น แต่ถ้าเราหาสถานที่ของเราเอง เราปลูกของเราเอง มันเป็นสิ่งที่ว่าเป็นภพเป็นชาติ เป็นสถานที่ของเราเอง นั้นคือในหัวใจไง เราถึงต้องทำความสงบ

ปฏิเสธสิ่งที่เป็นสัมมาสมาธิไม่ได้ ถ้าปฏิเสธสิ่งที่เป็นสัมมาสมาธิว่าสัมมาสมาธิเราไม่ต้องทำ เราไปยึดในป่าเขาเอาเลย เราไปทำของเขา สิ่งนี้เราไปทำของเราเลย...มันป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเราเกิดมาในท่ามกลางพุทธศาสนา พบธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมไว้ให้เราเป็นการก้าวเดินไง ก้าวเดินขึ้นมาเพื่อให้เป็นผลประโยชน์ของเรา ให้ไปเห็นความเป็นจริงของเราขึ้นมา ถ้าเราเห็นความเป็นจริงของเราขึ้นมา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สามารถทำให้ใครเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สามารถทำให้คนพ้นกิเลสได้ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทางได้ไง

ความชี้ทางคือธรรมและวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ให้ชี้ธรรมเข้ามา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ให้มีทาน ศีล ภาวนา ทำทานก่อนไง ทำทานเพื่อให้จิตมันควรอ่อนควรแก่การงาน สิ่งที่จิตแข็งจิตกระด้าง ทำไปขนาดไหน ความกระด้างของมัน มันไม่ละอียดอ่อนพอหรอก ดูสิ เวลาคนหยาบคนกระด้าง เขาต้องการผลประโยชน์ของเขาโดยไวๆ ต้องการสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยฉับพลัน อะไรก็ได้ขอให้มันเป็นเกิดมาเดี๋ยวนี้ในปัจจุบันนี้...มันไม่ใช่ตบะธรรมนี่ เวลาตบะธรรม เกิดนิมิต เราทำความสงบของเรา เกิดนิมิตความเป็นเห็น เห็นไหม มันเป็นความสุข นั้นเป็นตบะธรรม มันเป็นนิมิต มันเป็นสิ่งที่ว่าเกิดจากอำนาจวาสนาของใจ มันไม่ใช่ภาวนามยปัญญา

สิ่งที่เป็นภาวนามยปัญญาต้องอาศัยสิ่งที่ว่ามันมีความเห็นในนิมิตนี้ ให้มันปล่อยวางเข้ามา ก่อนที่มันฟุ้งซ่านมันก็มีความฟุ้งซ่าน เอาความทุกข์ความร้อนมาเผาใจตัวเองอยู่แล้ว แล้วจะให้มันสงบเข้ามาให้สงบเข้ามาก่อน ความสงบมันไม่เหมือน ไม่ไปยึดเอาป่าเอาเขาของคนอื่นมาเป็นของเรา ต้นไม้ภูเขาเลากามันไม่ใช่เป็นความทุกข์นะ

ความทุกข์มันอยู่ในหัวใจของสัตว์โลกนะ ใจของเรานี่เป็นความทุกข์ ถ้าใจของเราเป็นความทุกข์ เพราะสิ่งนี้มันบีบบังคับ เรื่องของกิเลสตัณหามันบีบบังคับ กิเลสตัณหาความทะยานอยาก ผู้ที่เกิดทุกคน แม้แต่เจ้าชายสิทธัตถะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิด พระโพธิสัตว์ก็มีอวิชชา ตัวอวิชชา พระโพธิสัตว์อวิชชาพาเกิดเห็นไหม พาเกิดขึ้นมาแล้วพยายามทำอาสวักขยญาณทำลายอวิชชาตัวนั้นดับไปไง อวิชชานั้นหลุดออกไปจากใจดวงนั้น เห็นไหม ปลูกโพธิ์ขึ้นมา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้โคนต้นโพธิ์ โคนต้นโพธิ์นั้นเป็นสถานที่เรื่องของวัฏฏะในปัจจุบันนี้ แต่ในหัวใจ ถิ่นในหัวใจที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำลายกิเลส พุทธปัญญาเกิดตรงนั้นไง ถึงว่า ต้นไม้ ต้นโพธิ์ถึงเป็นสัญลักษณ์ของการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมในปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงว่า “โพธิ” คือปัญญาของพระโพธิสัตว์ ปัญญาของพุทธะ ปัญญาในมรรคญาณ

สิ่งนี้ก็ย้อนกลับมาถ้าเกิดขึ้นมาในหัวใจของเรา ถ้าเกิดขึ้นมาในหัวใจของเรา เห็นไหม ถึงว่า สัมมาสมาธิต้องกำหนด พุทโธ พุทโธ พุทโธ เพื่อให้ใจนี้สงบเข้ามาไง เพราะมันมีความฟุ้งซ่าน มันมีความเร่าร้อน มันมีความตัณหาความทะยานอยาก ประพฤติปฏิบัติก็ต้องการให้สมประโยชน์ของเรา ประพฤติปฏิบัติก็ต้องให้ได้ตามความปรารถนา นี่ตัณหาความทะยานอยากมันจะแทรกเข้าไปในการประพฤติปฏิบัติตลอด

ขณะที่เราประพฤติปฏิบัติ เรื่องของจิตมันเป็นเรื่องของความลึกลับมหัศจรรย์ เพราะมันปล่อยวางได้ มันปล่อยวางสิ่งต่างๆ เข้ามา เพราะเรากำหนดพุทโธ แล้วกิเลสมันแทรกเข้าไปในระหว่างมันปล่อยวาง ก็ไม่ไปยึดเอาว่าสิ่งนี้เป็นปัญญาของเรา สิ่งนี้เป็นความว่างของเรา ความว่างอย่างนี้ ความว่างแบบกิเลสมันพาให้เป็นไป พาให้เป็นไปนะ เพราะอะไร เพราะถ้าเป็นความว่างจริง โพธิเกิดขึ้นจริง สัมมาสมาธิมันจะเกิดปัญญา จะมีปัญญาแนบกับความเห็น เห็นถูกต้องไปตลอด

ความแนบเห็นที่ถูกต้อง มีสติ มีสติเรากำหนดพุทโธขึ้นมา จิตมันก็สงบเข้ามาได้ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา สิ่งนี้มันเป็นสัมมาสมาธิ มันเป็นความสงบของใจ ถ้ามันเป็นความสงบของใจแล้วปัญญามันอยู่ไหน ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมา ปัญญามันจะเกิดขึ้นมาจากตรงไหนล่ะ ปัญญาในการรื้อภพถอนชาตินะ ปัญญาในการรื้อค้นนะ ปัญญาอย่างนี้มันจะเกิดขึ้นมาเพราะว่าสอนจิต ให้จิตเห็นว่าสิ่งที่อาศัยกันเป็นพื้นฐานนะ ปัญญาทางโลกเขา ปัญญาสิ่งที่เป็นวิชาการของโลก ปัญญาอย่างนั้นเป็นปัญญาการสร้างสม เป็นปัญญาทางวิชาการ

แต่ถ้าปัญญาชำระกิเลส มันจะเห็นว่าใจเรามันติดข้องกับสิ่งใด จิตใต้สำนึกนี้สำคัญมากนะ จิตใต้สำนึกนี้คือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันยึดมั่นถือมั่นของมัน เพราะมันถือไง มันเป็นความโง่ของใจ นี่ว่าเป็นความโง่ของใจเพราะใจมันไม่เข้าใจตามความเป็นจริง มันเกิดไง เกิดตามสภาวะกรรมไง เราเกิดปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา พอปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา เรามีชีวิตสืบต่อในครรภ์ของมารดา ๙ เดือนนะ เรามีชีวิตนะ เพราะบางคนเขาแท้งในครรภ์ของมารดาได้ ใน ๙ เดือนนั้นเขายังเกิดยังตายในครรภ์ของมารดาได้เห็นไหม เรามีชีวิต เราใช้ชีวิตในครรภ์ของมารดาอยู่ ๙ เดือน แล้วเราคลอดออกมา สิ่งที่คลอดออกมา

ความโง่ของใจมันก็ต้องว่าเป็นของเราสิ เพราะเราเกิดมาในสถานะของเรา สิ่งนี้เป็นของเรา เรามีสิทธิ เรามีสิ่งต่างๆ ตามกฎหมาย เราเกิดมาในครอบครัวไหนเราก็มีสิทธิตามรับมรดกในครอบครัวนั้น เรามีสิทธิเป็นมนุษย์ สิทธิ์เสมอกันโดยมนุษย์ เรามีความเสมอกันเสมอภาคกันโดยมนุษย์ เสมอภาคมีสิทธิตามกฎหมายรองรับ แล้วเราก็ยึด สิทธิ์นี้มันเป็นสมมุติ นี่มันโง่ขนาดนั้นไง แต่ถ้าปัญญามันจะเลาะสิ่งนี้ ถ้าสิ่งนี้มันปล่อยวางได้ ไม่ใช่ว่าเราไปทำลายสิทธิของเรา สิทธิตามกฎหมายก็เป็นสิทธิตามกฎหมาย สิทธิในสิ่งต่างๆ นั้นเป็นสิทธิ เราสละสิทธิ์ต่างหากล่ะ

แม้แต่พระบวชนะ เวลาพระบวชมานี่ประกาศว่าเป็นพระนักรบที่จะชำระกิเลส เราก็สละสิทธิ์ในสิ่งที่ว่าเป็นสิทธิของมนุษย์ในทางโลก สิทธิทางโลกเห็นไหม บุคคลจะทำสิ่งใดเขาก็ไม่ติฉินนินทา

แต่ผู้ที่บวชเป็นพระไปทำสิ่งที่ผิดทางโลกเขามันก็เป็นอาบัติอยู่ ๑.

๒. ทำไมพระผู้ที่มีสติมีความระวังขนาดนั้นทำไมทำผิด โลกเขาจะติเตียน

สิ่งที่ว่าเป็นสิทธิทางโลก บวชเป็นพระมันก็สละอยู่แล้ว แต่เวลาเกิดเวลาประพฤติปฏิบัติเข้าไปในหัวใจ สิ่งที่มันไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของมัน อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ สิ่งนี้เป็นปัจจยาการในหัวใจก่อน แล้วมันก็ยึดออกมาเป็นขันธ์ ขันธ์นี้ก็มายึดร่างกายนี้ว่าเป็นของเรา สิ่งนี้เป็นของเรา พอสิ่งนี้เป็นของเรา นี้คือความคิดของอวิชชา ปัญญามันเป็นสภาวะแบบนั้น

เวลาเราประพฤติปฏิบัติเราก็รู้ว่าเข้าใจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่แล้ว เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ไปทับซ้อนสิทธิ์ไง ไปทับซ้อนสิทธิ์ในสิ่งที่ไม่ใช่ของเรา ถ้าไปทับซ้อนสิทธิ์ สิ่งที่ทับซ้อนสิทธิ์ เวลาเป็นสติปัญญามันทัน มันก็ว่าสิ่งนี้ว่าง พอใจ เพราะเราวิปัสสนาเข้ามา มันปล่อยวางเข้ามา นี่มันปลูกโพธิ์ไม่ได้ เพราะมันสิทธิมันซ้อนกัน ซ้อนกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือป่าเขาลำเนาไพร สิ่งนี้สภาวธรรมมีอยู่ แล้วเราก็ไปทับสิทธิ์ว่าสิ่งนี้เป็นของเรา สิ่งนั้นเป็นของเรา สิ่งนั้นเป็นของเรา เราก็ไปอยู่อาศัยชั่วคราวมันก็สบายชั่วคราว แต่มันไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเรา

ถ้าเป็นของเรา ปัญญามันจะเกิด เราจะปลูกโพธิ์ ปลูกโพธิ์อย่างไร ถ้าปลูกโพธิ์ ถ้าเป็นปัญญาของเราสิ่งนี้จะแทรกเข้ามาไม่ได้ กิเลสตัณหาความทะยานอยากจะแทรกเข้ามาไม่ได้ เพราะอะไร เพราะมันเป็นสภาวธรรมตามความเป็นจริงไง สิ่งที่เป็นสภาวธรรมตามความเป็นจริงมันต้องเกิดขึ้นโดยมัชฌิมาปฏิปทา แบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ เทฺวเม ภิกฺขเว ทางสองส่วนไม่ควรเสพ นี้เวลาเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันมีความสุขไง กามสุขัลลิกานุโยค พอใจ พอใจสิ่งนี้ กิเลสมันก็แทรกไปสิ่งนี้ เวลามันเสื่อมขึ้นไป มันจะล้มลุกคลุกคลานนะ

สิ่งที่เป็นกิเลสมันแทรกมาในหัวใจ มันจะให้โทษตลอดไป แม้แต่การประพฤติปฏิบัติมันก็จะให้โทษ โทษเพราะอะไร โทษเพราะเราเดินไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางไง ถ้าเราไปเดินขึ้นไปจนถึงจุดหมายปลายทาง เวลามันชำระกิเลสโดยตามความเป็นจริง มันจะเป็นสิ่งที่เป็นอฐานะเลยนะ ถึงจุดหมายตามความเป็นจริงแล้วเป็นอฐานะ เพราะมันเป็นสมบัติส่วนตน

เราปลูกโพธิของเราขึ้นมาได้ ถ้าเราปลูกโพธิ ปัญญา “โพธิปัญญา” ปัญญาในภาวนามยปัญญา มันจะเห็นสภาวะตามความเป็นจริง สิ่งที่สภาวะตามความเป็นจริงมันวิปัสสนาไป มันจะทำลายกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนให้ปัญญามันแกล้วกล้าอาจหาญรื่นเริงในความเป็นไป แต่เวลาล้มลุกคลุกคลาน ถ้ากิเลสมันหลอกว่าสิ่งนี้เป็นสัจธรรม มันตื่นเต้นไง สิ่งที่ไม่เคยเห็น สิ่งที่ไม่เคยพบ ความว่างขนาดนี้ ความสุขขนาดนี้ ใครจะเป็นไปได้เหมือนเรา เราจะมีความสุขมหาศาลเลย มันจะปล่อยวางหมด มันจะเวิ้งว้างไปขนาดไหน

โธ่! ในอจินไตยนะ อจินไตย ความว่างนี้เป็นอจินไตย มันมีความว่างที่ว่ามันว่างจนเราไม่สามารถคาดคะเนได้นะ สิ่งที่เป็นอจินไตยมันไม่มีเหตุไม่มีผลไง ไม่มีเหตุผลเพราะมันกำหนดทำตบะธรรมขนาดไหน มันก็ว่างได้ขนาดไหน ทำไมฤๅษีชีไพรในสมัยพุทธกาล ทำไมเขาปฏิญาณตนว่าเขาเป็นศาสดา เขาสอน เจ้าลัทธิต่างๆ เขาก็มีความเห็นของเขา แต่ความเห็นของเขามันไม่เป็นตามความเป็นจริงไง เพราะเขาสงวน เขารักษา เขาพยายามสร้างเหตุไว้ เขาสงวนรักษา

เหมือนชฎิล ๓ พี่น้อง เขาบูชาไฟ เขามีอำนาจนะ เขามีฤทธิ์มีเดชของเขานะ คนสมัยพุทธกาลเคารพบูชาเขานะ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปสะกิด ไปสะเทือนใจเขา เขายังออกมาใช้ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือธรรมจักรอันนี้ได้ แล้วเราประพฤติปฏิบัติท่ามกลางศาสนา ท่ามกลางครูบาอาจารย์ที่มีคอยชี้นำเข้ามา ทำไมมันไพล่ออกไปเอาอย่างนั้นล่ะ ต้องตามธรรมในพระไตรปิฎก ยึดมั่นถือมั่นตามความเห็นอันนั้นไง ถ้ายึดมั่นถือมั่นตามความเห็นอันนั้น มันเป็นทับซ้อนกัน มันเป็นธรรมไปเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เราจะก้าวเดินทาง เวลาเราจะข้ามแม่น้ำ เราจะต้องตัดไม้ผูกเป็นแพ แล้วเราจะต้องล่องแพนั้นข้ามน้ำไป แล้วเราต้องทิ้งแพนั้นไง คำว่า “ทิ้งแพ” ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นแพ เป็นสิ่งที่ทำให้เราข้ามไป ทีนี้เราข้ามไปแล้วเราจะทิ้งได้ไหม เพราะเราไม่กล้าทิ้ง เรายึดมั่น เรากอดแพนั้นไง เรากอดแพนั้น เราจะข้ามขึ้นฝั่งไม่ได้ ถ้าเราขึ้นฝั่งไม่ได้ เพราะเราจะแบกแพขึ้นไปขึ้นฝั่งได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้

เว้นไว้แต่เราทำลายแพนั้น ให้แพนั้นออกมาเป็นไม้เล็กไม้น้อยเราก็มีกำลังแบกขึ้นไป มันก็ไม่ใช่มรรคสามัคคีวันยังค่ำนั่นแหละ มันเป็นความเห็นของเรา เพราะมันไม่สมุจเฉทปหาน มันชำระกิเลสไม่ได้ มันก็จะต้องเสื่อมไปเป็นธรรมดา สิ่งนี้ต้องเจริญแล้วเสื่อมโดยธรรมดาของสัจจะความจริงไง มันเป็นธรรมชาติอันนี้ที่เจริญแล้วเสื่อมโดยธรรมชาติ แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามหัศจรรย์กว่านั้น มหัศจรรย์กว่านั้นเพราะใช้ปัญญาญาณวิปัสสนาใคร่ครวญ

ถ้าเห็นกาย ถ้าจิตสงบขึ้นมา เวลาจิตเราสงบขึ้นมา เวลามันปล่อยวางขึ้นมา ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็จะบอกความสงบนี้มันว่างมาก มันก็จะบอกสิ่งนี้เป็นผล นี่ต้นโพธิ์ปลูกไม่ได้ ปลูกไม่ได้เพราะปัญญามันไม่เกิด

ถ้าปัญญามันจะเกิดนะ กิ่งโพธิ์นี่ ความร่มเย็นของกิ่งโพธิ์นั้นมันจะแผ่ขยายแผ่กว้างออกมา เราอยู่ใต้ต้นโพธิ์นั้นเราจะมีความสุขมากนะ มีความร่มเย็นเป็นสุข ถ้าจิตเป็นสัมมาสมาธินี่เราจะมีความสุขในใจของเรา เพราะใจมันปล่อยอารมณ์ต่างๆ ขึ้นมา เหมือนเราอยู่ใต้ต้นโพธิ์นั้น ไม่โดนแดดโดนฝนเผาผลาญเรา จิตมันแค่สงบขนาดนั้นน่ะ มันก็มีความเห็นของมัน มันก็ติดข้องของมันได้ นี่เพราะปัญญาไม่เกิด

ถ้าปัญญามันจะเกิด พอจิตสงบเข้ามา ทำไมมันไม่สงบล่ะ? เพราะเราไม่จริงไม่จัง ถ้าเราเอาจริงเอาจังออกมา “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา” เวลาพระอาทิตย์ขึ้นแดดออกมีความร้อนเกิดขึ้นมันเป็นธรรมดา เวลาพระอาทิตย์ตกขึ้นมา ความเย็นมันก็มาเป็นธรรมดา สิ่งนี้เป็นธรรมดา แต่ถ้าเราประพฤติปฎิบัติ เรากำหนดพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าเราใช้ความตั้งใจของเรา มันจะไม่สงบเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะไม่สงบ

แต่ที่มันไม่สงบอยู่นี้เพราะเราไม่จริงต่างหาก เราทำของเราไม่จริงไม่จัง เราไม่มีความวิริยอุตสาหะ เราทำไปถึงครึ่งๆ กลางๆ เราสังเกตได้ไหม เด็กที่คนที่จับจดก็มี เด็กที่ขยันหมั่นเพียรก็มี เด็กที่ขยันหมั่นเพียรแต่เชื่อเพื่อน พาออกไปนอกลู่นอกทางก็มี เวลาเราประพฤติปฎิบัติที่มันเข้าไม่ถึงความสงบได้ มันก็เป็นแบบนั้นไง แบบว่าเราทำไม่จริงไม่จัง ถ้าเราทำจริงเราทำจังนะ เรากำหนดพุทโธ สติพร้อมตลอดไปนะ ทำอยู่อย่างนั้น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ทำศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเราทำสมาธิขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะโกหกเราเป็นไปไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่เคยโกหกเพราะมันเป็นความผิดศีล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมไว้ทุกอย่างเป็นอกาลิโก ไม่มีกาล ไม่มีเวลา กาลเวลาจะลบล้างสิ่งนี้เป็นไปไม่ได้ มันจะลบล้างสิ่งนี้ไม่ได้เลย แต่เพราะเราทำไม่จริง มันเป็นเพราะเราทั้งหมด

เราถึงต้องตั้งสติของเราให้สมบูรณ์ ทำขึ้นมา ตั้งสติแล้วพยายามกำหนดพุทโธๆ ไปหรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ คือใช้ความเห็น ฟังสติควบคุมความคิดเข้ามา มันต้องสงบโดยเด็ดขาด ถ้าเราทำจริง ถ้าเราทำจริงเราจะได้ผลจริง เพราะเราทำของเราไม่จริง ผลมันถึงให้เราไม่จริง พอไม่จริงมันก็สงบไม่ได้ พอสงบไม่ได้เวลาน้อมไปที่กาย มันก็จะเห็นกายนั้นไม่เป็นไปตามความเป็นจริง

ถ้าสงบจริงเราน้อมไปที่กาย เราจะเห็นต้นอ่อนของต้นโพธิ์

เรา เวลาเราทำความสงบนะ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิก็แล้วแต่ เราใช้กำหนดพุทโธก็แล้วแต่ เหมือนกับเราเพาะเมล็ดพันธุ์ไง เราเอาเมล็ดพันธุ์มาเพาะ เมล็ดพันธุ์ต้องแช่น้ำก่อนเพื่อให้เมล็ดพันธุ์มันแตกง่ายใช่ไหม เวลาเราไปในดิน เราทำปุ๋ยไว้ ฝังไว้ในดิน แล้วเราเพาะพันธุ์ของเราขึ้นมา เรารดน้ำ เราให้ความชุ่มชื้นกับมัน แล้วต้นเมล็ดนั้นมันจะงอกออกมา สิ่งที่งอกออกมา เราต้องรักษาสิ่งนี้

เหมือนกัน เวลาจิตน้อมไปเห็นกาย เราจะเห็นกายของเรา น้อมไปจิต เราจะเห็นจิตของเรา น้อมไปที่จิตนะ อยู่ที่อำนาจวาสนา สิ่งนี้เป็นอำนาจวาสนา “กาย เวทนา จิต ธรรม” สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพราะในกายก็มีเวทนา เพราะเราจับเห็นกายมันจะมีความรู้สึก ความสุขความทุกข์นั่นคือเวทนาแล้วสิ่งที่ไปเห็นนั้นคือจิต สิ่งที่เป็นสภาวะนั้นคือธรรม

เราน้อมไปที่เวทนา เวทนาเกิดที่ไหน? เกิดที่กายกับจิต สิ่งที่รับรู้นั้นคืออะไร? คือธรรม เราอยู่ในธรรมอยู่ในจิต เหมือนกัน สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ต้องว่าเราดูกายแล้วจะไปดูจิต ไปดูเวทนา...ไม่ใช่ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง อยู่ที่จริตนิสัย

ฉะนั้น เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นคือว่าเมล็ดพันธุ์มันงอก มันเห็นต้นขึ้นมา เราต้องถนอม ต้องรักษา ธรรม ถ้าน้อมไป เราบำรุงรักษามันจะเจริญเติบโตขึ้นมา สิ่งที่มันเจริญเติบโตขึ้นมานั้นคือปัญญาของเรา เราน้อมไปพิจารณาไป ถ้าเราเห็นกาย รำพึงให้มันแปรสภาพ วิภาคะไง การเห็นนี้เห็นโดยภาพจากตาของปัญญา ตาของใจเห็นภาพอย่างนั้นแล้วเราใคร่ครวญมัน ต้องใคร่ครวญนะ ใคร่ครวญให้มันแปรสภาพไป การใคร่ครวญอย่างนี้ปัญญามันจะเกิดเป็นภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญาคือเห็นสัจจะตามความเป็นจริง

ปัญญาของโลกนี่เราลืมแล้วเดี๋ยวเราก็นึกขึ้นมาได้ เราลืมสิ่งใดนะ ความคิดหรือข้อมูลต่างๆ เราลืมไป เราไปเปิดในตำราก็ได้ เราไปถามครูบาอาจารย์ก็ได้ นี้คือปัญญาของโลกนะ แต่ถ้าเป็นภาวนามยปัญญามันจะเกิดขึ้นโดยฐานของสัมมาสมาธิ ถ้าฐานของสัมมาสมาธิเกิดขึ้นมา นี่ต้นโพธิ์เกิดตรงนี้ ปัญญาเกิดตรงนี้

งานชอบ เพียรชอบ สิ่งต่างๆ มันจะสมดุลของมัน สิ่งที่สมดุลของมัน ปัญญามันจะเคลื่อนไปโดยจักรอันนั้น มันจะไม่มีตัวตนนะ

ถ้ามีตัวมีตนของเรา นั้นคือสิ่งที่ว่ามันไม่มัชฌิมาปฏิปทา สิ่งที่ไม่มัชฌิมาปฏิปทา เพราะเราต้องการให้มันเป็นไป เวลาเรามีสัญญา สัญญาคือต้องการให้มันเป็นไปอย่างที่เราเคยได้เคยเป็น เราเคยได้เคยเป็น เราทำจนตาย จนตายจริงๆ นะ เพราะเวลาเราทำอย่างไรมันจะไม่เป็นสิ่งที่เราเป็น เพราะมันเป็นสมุทัย มันเป็นตัณหา มันเป็นความทะยานอยาก สิ่งที่เป็นตัณหาความทะยานอยากมันเข้าไปแทรก กิเลสมันแทรกเข้าไปในการวิปัสสนาของเราตลอดไป

เวลาปัญญาเกิดขึ้น ต้นโพธิ์เกิดขึ้น เรารักษาของเรา แมลงมันกัดกิ่งกัดใบจนใบเน่าใบเสีย นี้เหมือนกัน เวลาปัญญา กิเลสมันแทรกเข้ามา แทรกเข้ามาในปัญญาของเรา แล้วมันทำให้ต้นไม้ของเราไม่งอกงาม ทำต้นไม้ของเราให้เฉาได้ นี่มันถึงต้องมีสติ ถ้ามีเป็นสัญญาเราถึงต้องกลับมากำหนดที่พุทโธ พุทโธ พุทโธเพื่อให้จิตสงบเข้ามา แล้วย้อนกลับไป มันความที่ว่ามันวิปัสสนาไป แล้วมันไม่เป็นไปตามสิ่งที่หวัง พอไม่เป็นตามสิ่งที่หวัง สิ่งนี้มันจะทำให้มีความทุกข์ในหัวใจ

วิปัสสนาไป ทำไปแล้วมีความทุกข์ มีความเดือดร้อนในใจ เพราะมันไม่สมหวังที่เรา ทำไมเราทำแล้วเป็นอย่างนี้ไม่ได้ ทำไมครูบาอาจารย์ประพฤติปฏิบัติทำไมมันสมประโยชน์ของครูบาอาจารย์ตลอด ทำไมเราทำของเราไม่ได้ ทำไมเราใช้ปัญญาแล้วปัญญามันไม่ใคร่ครวญไปตามนั้น...ถ้าเราคิดอย่างนั้น ยิ่งคิดมาก กิเลสตัณหาความทะยานอยาก ความยึดมั่นถือมั่น ความผูกใจมันจะมีฤทธิ์มากขึ้นไป...ถึงต้องปล่อยไง ต้องปล่อยอย่างนี้ออกมา นี้คือปัญญาโลก ปัญญาโลกลืมแล้วก็จำได้

แต่ถ้าเป็นปัญญาของภาวมยปัญญา มันจะเกิดโดยสัจจะความจริงของเขา โดยสัจจะความจริง หน้าที่ของเราคือสร้างสติของเราขึ้นมา ตั้งสติแล้วให้จิตมันสงบเข้ามาแล้วย้อนไปดู ถ้ากายแปรสภาพมันเป็นไป นี่สอนใจ ปัญญาอย่างนี้จะสอนใจ โพธิจะงอกงามเจริญขึ้นมาในหัวใจของเรา ปลูกโพธิ์ขึ้นมาจนเจริญงอกงาม เห็นไหม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พิจารณากายพิจารณาจิตเหมือนกันทั้งนั้น แต่พิจารณาจิตมันเป็นขันธ์ มันเทียบเคียงพิจารณากายโดยธรรม โดยธรรม เอาจิตที่สงบนี้ย้อนกลับไป

ถ้าจิตมันไม่สงบ เวลาพิจารณาไปนี่มันไม่ปล่อย มันไม่ปล่อยไง ใช้ปัญญาใคร่ครวญกับความเป็นไปของชีวิตไง ชีวิตนี้เกิดมาจากครรภ์ของมารดา ชีวิตนี้เจริญเติบโตขึ้นมาโดยน้ำนมของมารดา ชีวิตนี้เกิดขึ้นมาจากอาหารอ่อนก่อน อาหารอ่อนทำให้เด็กมันเจริญเติบโตขึ้นมา แล้วชีวิตนี้ก็ขับเคลื่อนไป ในร่างกายของเรานี้เซลล์มันตายไปหมดแล้ว เซลล์เกิดใหม่เกิดขึ้นมาในชีวิตเราก็มีชีวิตซ้อนขึ้นมา เพราะสิ่งมีชีวิตอยู่ในร่างกายของเรา นี่มันใช้ปัญญาใคร่ครวญไป

สิ่งนี้มันดำรงสืบต่อ ชีวิตนี้เป็นอนิจจัง มันไม่แน่นอน มันเป็นไปตามอำนาจของกรรม เรามีสติสัมปชัญญะ เราประพฤติปฏิบัติธรรม เรามีสติเราไม่ประมาทกับชีวิต ชีวิตนี้มันก็ดำเนินไปโดยสมบูรณ์ของมัน ถ้าเราพลั้งเผลอ เห็นไหม อุบัติเหตุมันเกิดกับเรา เราจะมีความพลั้งเผลอของเราไป เวลาเราวิปัสสนาไปน่ะ ความผิดพลาดของในใจมันก็ยังมี นี่มันจะย้อนกลับมาเข้าถึงภายใน

ถ้ามันทวนกระแสเข้ามาถึงในหัวใจ นั้นเป็นมรรคนะ ถ้ามันเป็นมรรค มันปล่อยมันวาง สติมันพอ ถ้าสติสมาธิไม่พอมันไม่ปล่อยไม่วาง มันก็จะยึดกันดึงกันดึงกันให้เราคลาดเคลื่อนไป

ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการชฎิล ๓ พี่น้อง ทำไมบอกว่า อายตนะนี้เป็นไฟ สิ่งนี้เป็นไฟ ทำไมเขาฟังแล้วเขาถึงเป็นพระอรหันต์เข้ามา เราประพฤติปฏิบัติใช้ปัญญาขนาดนี้ ทำไมมันไม่เป็นไปตามนั้น

เพราะเขาสร้างสมใจของเขามีพื้นฐานมาก แล้วเขาเกิดมาในสหชาติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราเป็นสาวกสาวกะ เราเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธ พุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกับพระอานนท์ไว้ “ให้ปฏิบัติบูชา” ถ้าปฏิบัติบูชา ถ้าปฏิบัติแล้วสมประโยชน์ของเรา เราจะได้ประโยชน์ ได้กำจัดกิเลสในหัวใจของเรา ถ้าเราปฏิบัติ บูชาการปฏิบัติบูชาทำให้ชีวิตเรา...องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก การหายใจเข้าและหายใจออกมีสติสัมปชัญญะอยู่ ดีกว่าคนที่เขาอยู่ในโลกนี้ใช้ชีวิตประมาทไปร้อยปีพันปี ชีวิตของเขาใช้ไปขนาดนั้นเขาก็อยู่ของเขาไป เพลินไปกับชีวิตของโลกเขา เขาไม่ได้สร้างสมคุณงามความดีให้เข้ามา

ถ้าเรากำหนดลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ แม้แต่หนเดียว เรายังมีคุณประโยชน์มากกว่าเขา แล้วเราประพฤติปฏิบัติ เราพยายามทำความสงบของใจของเรามา เรากำหนดพุทโธวันหนึ่งกี่ร้อยหนกี่พันหน บุญกุศลเกิดไหม ถ้าบุญกุศลเกิดเพราะเราเข้าใจตัวของเราไง เราหาสมบัติของเรานะ เหมือนกับเขาหาสมบัติของโลกเลย โลกเห็นไหม สมบัติพลัดกันชม สมบัตินี้เป็นสมบัติของโลกนะ ใครมีสติมีปัญญาเขาค้นคว้าหาได้ ใครทำธุรกิจ ประกอบธุรกิจเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีขึ้นมา เงินเป็นของโลก ถ้าเขาเป็นไป เขาเจ็บไข้ได้ป่วย เขาเข้าโรงพยาบาล เงินรักษาเขาได้ไหม? รักษาไม่ได้หรอก ต้องให้หมอรักษาเขา เขาตายไปจากนั้นไปต้องพลัดพรากจากกัน

แต่เราค้นคว้าสิ่งที่มีความสำคัญมากกว่า เพราะเราค้นคว้าเรื่องของจิตวิญญาณของเราไง เรื่องของสมาธินะ จิตวิญญาณนะ เพราะจิตนี้สงบเข้ามา จิตนี้มันถึงยกวิปัสสนาได้ เราค้นคว้าหาจิตของเรา นี่จิตของเรา ถ้าใครทำความสงบของใจเข้ามาแม้แต่จิตสงบมันจะมีความมหัศจรรย์ มีความลึกลับมหัศจรรย์มาก จิตเป็นอย่างนี้ สติสัมปชัญญะพร้อมนะ

ในภาคปฏิบัติของเราเวลาประพฤติปฏิบัติกัน สติไม่สมบูรณ์ไง เวลาว่างก็ว่างโดยไม่มีสติเห็นไหม ว่างแบบพรหมลูกฟัก ว่างแบบไม่มีสติสัมปชัญญะ ความว่างว่างสบายๆ ว่างอย่างนั้นแล้วกำลังมันไม่พอไง เวลากำหนดพุทโธ พุทโธ เวลาพุทโธมันจางไปแล้ว เวลาพุทโธจางไปนี่ว่างๆ อยู่ให้ทำอย่างไรต่อไป...เพราะไม่มีคำบริกรรม ไม่สามารถส่งจิตนี้ให้มันมีฐานคือลึกเข้าไป

คือถ้าเรากำหนดพุทโธ พุทโธ ตลอดไป คำว่า “พุทโธ” มันไม่หยาบหรอก เวลาจิตสงบมันสงบของมันเอง แต่นี่เราไปนึก พุทโธ พุทโธ แล้วเราคลายออก เราปล่อยออก จิตมันก็ว่างๆ อยู่อย่างนั้น มันไม่มีสติไง แต่ถ้าเรากำหนด พุทโธ พุทโธ เวลาสงบเข้าไป สติพร้อมตลอด จะเป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ สติสัมปชัญญะสมบูรณ์มาก มันจะนึกเข้าไป เห็นไหม กำลังอย่างนี้ เวลามันถอนออกมาจนอุปจารสมาธิจะเห็นกาย วิปัสสนาไป

ถ้าเราทำโดยที่ว่าเราไม่มักง่าย ไม่สุกเอาเผากิน เรามักง่ายแล้วสุกเอาเผากินนะ แล้วเห็นเขาปลูกต้นไม้กันโดยทางราชการ เหมาป่าปลูกป่ากันเป็นร้อยไร่ พันไร่ หมื่นไร่ เห็นไหม เราไม่ต้องไปปลูกกับเขา เราปลูกของเราต้นเดียว โพธินี่ปลูกให้ได้ในหัวใจของเรานี่ แล้วสงวนรักษาของเรานะ แล้วเราจะเป็นประโยชน์กับเรา สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรานะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้มาองค์หนึ่ง รื้อสัตว์ขนสัตว์จนมาถึงปัจจุบันนี้ ถ้าเราปลูกโพธิ์ของเราต้นหนึ่งได้นะ เวลากิ่งก้านสาขามันจะให้ร่มเงากับสังคม ร่มเงาแก่สัตว์โลก มันจะเป็นประโยชน์กับสัตว์โลกมหาศาลเลย แต่ถ้าเราปลูกของเราไม่ได้ เราไม่ได้ปลูกของเรา เราไปทับสิทธิ์ของคนอื่น มันก็ต้องเกิดต้องตายไปนะ ต้องเกิดและต้องตายไปตามอำนาจของกรรม ทำคุณงามความดีก็เกิดอีก เกิดตาย เกิดตาย

การเกิดและการตายก็ทุกข์อันปัจจุบันนี้ แต่ในปัจจุบันนี้สิ่งที่เกิดและตายเป็นความทุกข์ เราพยายามจะชำระตรงนี้ออกมาได้ ถ้าเราชำระกิเลสตัณหาความทะยานอยาก พิจารณากายเห็นกายตามความเป็นจริง มันปล่อยวางแล้วปล่อยวางเล่า เห็นความจริงปล่อยวางก็มีความสุข แต่มันมีความเกาะเกี่ยวของใจ เกาะเกี่ยวของใจปล่อยขนาดไหนมันก็มีความลังเลสงสัย มันมีความลังเลสงสัย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าว่าง ปล่อยว่าง ว่างอย่างไร ว่างแล้วมันมีอะไรสิ่งใดอยู่ในหัวใจ ถ้ายังมีอย่างนี้อยู่นี่สังโยชน์ไม่ขาด ถ้าวิปัสสนาไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า กาย เวทนา จิต ธรรม ปัญญาญาณยังเกิดอย่างนี้ เวลามันสมุจเฉทปหานขึ้นมา มันเห็นชัดเจนเพราะอะไร เพราะมันเห็นความเป็นไปของภาวนามยปัญญา มันเห็นความเป็นไปของธรรมจักรมันเคลื่อน นี่โพธิ

ปัญญาญาณในมรรคขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอริยสัจตามความเป็นจริงเกิดขึ้น มันหมุน มันทำลายกัน มันเห็นมรรคสามัคคีนะ สัมปยุตเข้ามาแล้วทำลายกิเลสออกไปจากใจ เห็นชัดเจน เป็นปัจจัตตังตลอดไป สังโยชน์ขาดออกไปตามความเป็นจริง นี่ความเกาะเกี่ยวของใจไม่มี ความลังเลสงสัย ความเป็นกระแสของใจที่มันเกาะเกี่ยวสิ่งใดๆ ในเรื่องกายกับจิต ไม่มี มันปล่อยวางหมด โล่งโถงมาก

สิ่งที่เป็นไป เราปลูกต้นอ่อนขึ้นมาได้ สิ่งที่เป็นต้นอ่อน สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่เป็นสมบัติของเรา เป็นอฐานะ ต้นไม้ต้นนี้จะไม่มีวันตาย เราตายจากชาตินี้แบบนางวิสาขาตายไป ต้นโพธิ์ต้นนี้จะฝังกับใจดวงนั้นตลอดไป ต้นโพธิ์ต้นนี้เป็นต้นโพธิ์ที่มีชีวิต สิ่งนี้ตลอดไป ไม่มีการตายอีกแน่นอนเพราะว่าเกิดอีก ๗ ชาติต้องถึงที่สุดไง เมื่อวิปัสสนาซ้ำเข้าไป ให้ต้นโพธิ์นี้จากต้นอ่อนให้มันเจริญงอกงามขึ้นมาจากโสดาบัน สกิทาคา อนาคา ขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป กิเลสตัณหาความทะยานอยากอย่างละเอียดในหัวใจนะ

เพราะเราเกิดท่ามกลางพุทธศาสนา เราเกิดท่ามกลางองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา ในเมื่อมีธรรมวินัย เราก็เอาธรรมวินัยเทียบเคียงเข้ามาในใจของเรา เห็นไหม ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกมรรค ๔ ผล ๔ ล่ะ ถ้ามรรค ๔ ผล ๔

แสดงว่าเราต้องมีงานข้างหน้าก้าวเดินอีก ๑.

๒. ความสุขของเราในการที่มันปล่อยวางขึ้นมานี่มันมั่นใจนะ มันมีความสุขว่าเราทำงานเป็น เราวิปัสสนาเป็น เราภาวนาเป็น เราภาวนาเป็นเพราะเราเห็นตามความเป็นจริง

คนทำงานเป็นกับคนทำงานไม่เป็นน่าเห็นใจนะ คนทำงานไม่เป็นมันก็ล้มลุกคลุกคลานแล้วก็สุกเอาเผากิน ก็ไปเหมาเอาว่าเราทำงานของเราได้ งานของเรา ถ้าเราสุกเอาเผากินน่ะ เหมือนกับสินค้านะ ถ้าสินค้านั้นบกพร่อง สินค้านั้นไม่สมประกอบ เหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้านั้นบกพร่องเขาก็ขายในราคาถูก สินค้านั้นมีความบกพร่องมีตำหนิ เขายังขายในราคาถูก แล้วถ้าสินค้านั้นมันใช้ไม่ได้ สินค้านั้นมันใช้งานไม่ได้ เอาไปขายใครใครเขาจะซื้อล่ะ มันเป็นไปไม่ได้เลย

นี่ก็เหมือนกันในเมื่อเราวิปัสสนาของเรา มันไม่เป็นไปตามความเป็นจริง มันไม่เป็นไปตามความเป็นจริง มันจะเป็นประโยชน์กับเราได้ไหม ต้นไม้นั้นมันก็ตายไปไง พอตายไปเราก็ต้องเกิดต้องตายในวัฏฏะโดยธรรมชาติโดยไม่มีต้นไม่มีปลายไง แต่ถ้าต้นไม้ของเราจริง สินค้าของเราดี สินค้าเราวางที่ไหนเขาก็ซื้อ ถ้าสินค้าของเราดี สินค้าของเราถูก สินค้าของเราประหยัด ประหยัดกว่าเขา สินค้าของเราคุณภาพดีกว่าเขา สินค้าของเราถูกกว่าเขา เห็นไหม วางที่ไหนเขาก็ซื้อ แล้วถ้าสินค้าของเราดีขนาดนั้น ไม่ต้องวาง เขาก็แสวงหา เขาก็มาซื้อกับเรานะ

ซื้อคือการศึกษาธรรม ซื้อคือการชี้ถนนหนทางของเรา เห็นไหม ชี้หนทางของเขา นี่ผู้มีธรรมในหัวใจมันไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนตนเพราะมันไม่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากนะ ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม กายกับจิตมันอยู่กันโดยสัจจะความจริง สิ่งนี้เราจะเป็นประโยน์กับคนอื่นได้

หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติจนถึงพระอนาคานะ สุดท้ายแล้วรื้อสัตว์ขนสัตว์ สอนหมู่คณะจนบอกว่า “ยังไม่ถึงที่สุด ยังมีภาระอยู่” ทิ้งหมู่คณะขึ้นไปเชียงใหม่ไปประพฤติปฏิบัติจนถึงที่สุด ถึงที่สุดจนเวลากิเลสมันตายไปจากใจของหลวงปู่มั่น ชีวิตนี้ไม่มีการขับเคลื่อน ชีวิตนี้ไม่มีการขับเคลื่อน พลังงานนี้มันเป็นพลังงานโดยธรรมชาติของมัน ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์นี้เป็นสิ่งที่แสดงธรรมที่หลวงปู่มั่นแสดงธรรมกับลูกศิษย์ลูกหาเท่านั้น สื่อความหมายมา

แต่ใจดวงนั้นเข้าไม่ถึงใจดวงนั้น ใจดวงนั้นมีความสุขของใจดวงนั้นมาก ในการประพฤติปฏิบัติ หลวงปู่มั่นถึงพยายามชี้ทางนั้น แล้วพยายามชักนำไง ชักนำให้เป็นประโยชน์กับกึ่งกลางพุทธศาสนา เพราะพุทธศาสนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “กึ่งกลางพุทธศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง” การเจริญขึ้นมามันเจริญในหัวใจ ถ้าใจนั้นเจริญ ความคิดจะเป็นประโยชน์มหาศาลเลย

แต่ถ้าศาสนาจะเจริญจากทับสิทธิ์กัน สิ่งที่ทับสิทธิ์ มันมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ทับสิทธิ์แล้วก็จะดึงพยายามเอาสิทธิ์ของตัวเข้าไปให้มีสิทธิมากกว่า คือกิเลสตัณหาในใจของตัวมันก็จะไปบิดเบือนสิ่งนั้นไง บิดเบือนธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ความเห็นของตัว มันไม่เคารพธรรม ไม่เคารพวินัย ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็ทำตามแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากของใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นทำตามกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันจะไปสมประโยชน์อะไรล่ะ

นี่เกิดท่ามกลางกึ่งกลางพุทธศาสนา ที่ศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก ธรรมในใจของครูบาอาจารย์ที่เจริญรุ่งเรือง มันเป็นประโยชน์หมด เห็นไหม แต่ถ้าธรรมที่ไม่เป็นไปตามความเป็นจริง ธรรมเห็นไหม เพราะเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เป็นธรรมของใจดวงนั้น เพราะไม่สามารถปลูกโพธิ์จากใจขึ้นมาได้ ถ้าสามารถปลูกโพธิ์จากใจขึ้นมาได้ มันจะเคารพ มันจะฝืนไปไม่ได้ แล้วมันจะไม่เป็นโทษกับบุคคลผู้ใดเลย เพราะสิ่งนี้เราก็แสวงหา ถ้าเรายังจะต้องต่อสู้กับกิเลสอย่างละเอียด เราก็จะพยายามต่อสู้กับกิเลสอย่างละเอียด

แล้วถ้าเราภาวนาเป็นอย่างนี้นะ มันจะต้องการเวลามาก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่า ออกเหมือนนอแรด ให้ออกเหมือนนอแรด นอแรดหนึ่งเดียว มันต้องการต้องเวลานะ เพราะเรื่องของกิเลสตัณหายิ่งละเอียดขนาดไหน มันกระทบรุนแรงนะ ชวนะไง ตา หู จมูก ลิ้น กาย สิ่งที่มันจะรู้ไวมากมันจะรับรู้สิ่งใด เพราะมันมีสติ สติมันพร้อมมาก ความกระทบของมันจะรุนแรงมาก สิ่งที่รุนแรง เห็นไหม สิ่งใดมากระทบเรามันจะไม่พอใจ สิ่งที่ไม่พอใจจะทำให้ใจขุ่นมัวไง เราถึงต้องไม่ให้สิ่งใดกระทบ ถึงจะต้องอยู่ป่า อยู่เขา อยู่กับสิ่งที่เป็นธรรมชาติไง

เพราะสิ่งนั้นไม่มีชีวิต ลมพัดมาไม่พอใจลมเราก็บ้า สิ่งที่สัตว์มันร้องเราไม่พอใจมันก็เป็นเรื่องของสัตว์นั้น มันเป็นสิ่งธรรมชาติสภาวะแบบนั้น เราอยู่กับในโลกนี้ เราเกิดในโลกนี้ เห็นไหม ดอกบัวเกิดจากโคลนตม สิ่งที่ในโลกนี้เราเกิดในโลกนี้แล้วเหมือนกับโคลนตม ถ้าเราปลูกบัว ปลูกสิ่งที่เป็นโพธิของเราขึ้นมา มันจะเจริญงอกงามออกจากใจ เราจะออกจากโลกไง ออกจากจิตใจของเรา จิตใจที่พาเกิดพาตายมันจะพากันเกิดพาตายไปตลอดเลย

แต่ถ้าปัญญาญาณมันเกิดขึ้นมา มันทำจิตเข้ามาให้มันปล่อยเข้ามา กามราคะอ่อนลง นี่สกิทาคามี แล้วเข้าไปพิจารณากาม พิจารณาจากภายใน มันจะปล่อยกามของมัน เรื่องของกามเรื่องของเป็นไปมันขับไสให้จิตนี่ไปตามโลก เราพิจารณาเข้าไปถึงสภาวะของกาม โทสัคคินา โมหัคคินา สิ่งนี้เป็นไฟทั้งหมด ความโลภ ความโกรธ ความหลงเกิดจากกาม เพราะทุกคนแสวงหาทุกคนต้องสงวนรักษา สิ่งที่สงวนรักษามันมีอยู่นะ ไม่ใช่ว่าเราไปค้นคว้า เราไปตู่ กล่าวตู่ให้เป็นของคนอื่น ไปเอากามของคนอื่นมาให้เป็นของเรา...ไม่ใช่หรอก

มันเป็นกามในหัวใจของเรา เพราะสิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติ มันมีอยู่โดย อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา มันเป็นธรรมชาติของมัน เป็นสภาวะแบบนั้น นี่ธรรมที่เป็นธรรมชาติไง เราถึงต้องใช้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นธรรมอันหนึ่ง เป็นอนัตตา เข้าไปทำลายมัน ทำลายเพราะอะไร เพราะมันมีโพธิ มีพุทโธ มีสภาวะจิต จิตนี้เป็นวิชชา สิ่งที่วิชชามันจะย้อนสิ่งนี้เข้าไป เข้าไปทำลายกัน พอทำลายสิ่งนี้ พอทำลายบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า ปล่อยวางออกมา ปล่อยวางออกมา มันจะปล่อยวางออกมา ปล่อยวางจนถึงที่สุดมันก็ต้องทำลายกัน

สิ่งที่ทำลายนี่ทำลายด้วยอะไร? ด้วยปัญญา

โพธิมันจะเจริญมาก ต้นโพธิ์เจริญขึ้นมา มันจะเข้มแข็งขึ้นมา มันจะมีกิ่งก้านสาขาขึ้นมา พอมันมีกิ่งก้านสาขาขึ้นมามันก็จะเหยียบกิเลสไป กิเลสไม่สามารถแทรกเข้ามาได้ ถ้าสติปัญญาเราสมบูรณ์ สิ่งนี้มันจะจางลงๆ มันจะเหยียบหัวกิเลสไป ถ้าปัญญาเราเจริญขึ้นมา มันจะเหยียบกิเลสไป แต่ถ้าเราสุกเอาเผากิน กิเลสมันจะเหยียบธรรมนะ มันจะเหยียบปัญญาของเรา ให้เอาปัญญาของเราไปให้มันใช้นะ ปัญญาของเราจะต้องไปให้กิเลสพาใช้

กิเลสจะเอาปัญญาของเรานี่เข้ามาหลอกลวงเรา เข้ามาทำลายเราให้เราเชื่อตามมันไปไง จนกว่าเราล้มลุกคลุกคลานแล้วเราย้อนกลับขึ้นมา จะเห็นความเป็นจริง แล้วเราจะต้องย้อนกลับเข้าไปใหม่ เวลาวิปัสสนาไปกิเลสมันจะแทรก แทรกตัวเข้าไปในปัญญาของเราตลอดไป กิเลสมันจะแทรกเข้าไปในธรรม ธรรมของเรานะ

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือธรรมวินัย

ธรรมของเรา คือความเป็นไปความเห็นของใจที่มันยกขึ้นมา

สิ่งที่ยกขึ้นมามันจะเห็นความมหัศจรรย์ ขณะที่ปัญญากับกิเลสมันต่อสู้กันในหัวใจนี้มันจะรุนแรงมหาศาล มันจะเห็นภาวนามยปัญญาอย่างนี้ไง นี่ธรรมที่เกิดขึ้น โพธิของเราเกิดขึ้น ปัญญาเราเกิดขึ้น มันจะเห็นตามความเป็นจริงขนาดนั้นนะ หมุนไป ทำไป มีความสติสัมปชัญญะเป็นมหาสติ-มหาปัญญาทำลายจนมันขาดออกไปจากใจ หมั่นซ้อมเข้าไป ไล่ต้อนเศษส่วนของมันเข้าไปจนมันว่างหมด สิ่งที่พาเกิดพาตายมันหลบเข้าไปถึงตรงนั้นนะ

เวลาว่า ต้นโพธิ์ ถึงต้องว่า จิตนี้อาศัยนอนอยู่โคนต้นโพธิ์ ต้องทำลายทุกอย่าง ทำลายความเป็นไป ทำลายขนาดไหนมันจะสะอาดบริสุทธิ์นะ นี่มันเป็นการสงวนรักษา เราได้สมบัติมาขนาดไหน เราก็จะรักษาสมบัติของเรา เราไม่กล้าทำลายสมบัติของเรา เพราะสมบัติของเรา ทำไมเวลาเราไปฝากธนาคารเงินมันหายไปไหนล่ะ? เงินไปอยู่ในธนาคาร ตัวเลขขึ้นมาเป็นบัญชีของเรา

นี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อกิเลสมันอยู่กับใจ ถ้าเราทำลายกิเลสอยู่กับใจ ทำลายอวิชชาที่ในหัวใจนี้ ถ้าเราทำลายขึ้นไปทั้งหมด นี่ใจมันจะบริสุทธิ์ แต่ถ้าเราเอาเงินกอดไว้กับเรา เราไม่สามารถจะเข้าบัญชีธนาคารได้ เราไม่สามารถให้ตัวเลขของเราขึ้นมาได้ เรากอดเงินอยู่กับเรา เงินอยู่กับเรามันเป็นสิ่งที่อันตราย เพราะใครๆ ก็ต้องการสิ่งนั้น ถ้าเรากอดเงินอยู่กับเรา มันปล่อย ปล่อยอย่างอื่นเข้ามาหมดแล้ว ปล่อยกามราคะเข้ามาหมดแล้ว

นี่เหมือนกัน มันเป็นอวิชชา มันไม่รู้ตัวมันเองไง มันปล่อยเข้ามา มันก็ว่าสิ่งนี้ปล่อยเข้ามามันเป็นธรรม มันเป็นธรรม มันหลงตัวมันเองไงว่า กิเลสคือเงินนั้นเป็นเราเป็นเรา...มันไม่ใช่เรามันเป็นอันคนละอันกัน สิ่งที่เงินกับเราไม่ใช่อันเดียวกัน อวิชชากับใจก็ไม่ใช่อันเดียวกัน แล้ววิชชาจะเกิดขึ้นเกิดขึ้นตรงนี้ไง นี่ปัญญาอย่างนี้ไง ปัญญาโพธิ ปัญญาต้นโพธิ์ของเราที่มันเจริญงอกงามขึ้นมา ปัญญาอย่างนี้มันจะละเอียดอ่อนเข้ามา มรรคสมบูรณ์ขนาดไหน ละเอียดอ่อนเข้ามา อุทธัจจะนะ ถ้าปัญญามันขยับเขยื้อนสิ่งนี้มันจะหยาบ ปัญญาอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด

ทำไมฝ่ายที่ว่าเขาปลูกป่าเหมาป่าเขาจะบอกว่า ทำไมพระกรรมฐานชอบพูดอย่างนี้ ชอบพูดอย่างนี้? เพราะมันเป็นความจริงไง มันเลยหยาบ มันละเอียดเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอนจริงๆ แล้วละเอียดมากนะ ละเอียดจนแบบว่าขยับเขยื้อนไม่ได้เลยนะ ถ้าขยับมันหยาบแล้วมันเข้ากันไม่ได้เลย เหมือนกับสิ่งที่ละเอียด เหมือนกับเราสอยเข็ม ถ้าเราเอาเชือกปอเชือกใหญ่ๆ เข้าไปสอยเข็ม มันเข้าได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้เลย เข็มเราเล็กๆ มันต้องใช้ด้าย ไม่ใช่ใช้เชือกปอ ไม่ใช่ใช้เชือกสิ่งที่ใหญ่เข้าไป นี่ก็เหมือนกัน ถ้าปัญญาอย่างหยาบมันก็เข้ากันไม่ได้ ถ้ามันเข้ากันไม่ได้ มันจะเป็นไปไม่ได้ มันจะสามัคคีไม่ได้ มันจะชำระกิเลสไม่ได้ สิ่งที่ไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไรให้มันได้ล่ะ ทำอย่างไรให้ได้ล่ะ

นี่ครูบาอาจารย์สำคัญ ครูบาอาจารย์จะคอยชี้นำให้อุบายวิธีการนะ ครูบาอาจารย์เวลาแนะนำมาก็เหมือนปัญญาทั้งหมด แต่อุบายวิธีการเรามีความฉลาดไหม ไม่ใช่ว่าฟังครูบาอาจารย์บอกว่าต้องใช้ปัญญาอย่างนี้ เราก็ยกมาทั้งหมดแล้วมาใช้ มันเป็นของสัญญา มันเป็นสิ่งที่ครูบาอาจารย์ให้มาทั้งหมด มันเป็นสูตร เป็นความสำเร็จ เวลาทางวิทยาศาสตร์ เวลาเขาใช้ทางวิทยาศาสตร์จะเป็นวิชาการ เขาต้องดูพื้นที่ ดูความเป็นไปของพื้นที่ ดูต่างๆ

นี่ก็เหมือนกัน มันอยู่ที่ความเป็นไปของใจของเรา เราสิ่งที่รับมาจากครูบาอาจารย์แล้วเราจะปรับใช้กับเราอย่างไร ถ้าเราปรับใช้กับเรานี่คือปัญญาของเรา ถ้าเราไปยึดปัญญาของครูบาอาจารย์มา มันเป็นปัญญาของครูบาอาจารย์ เราจะไปจับจองที่ป่าของเราเป็นไปไม่ได้ เราถึงต้องใช้สิ่งนี้แล้วประโยชน์ขึ้นมาเป็นปัญญาของเรา แล้วเราใช้ใคร่ครวญของเราเข้ามา ถึงที่สุดแล้วมันจะพลิกคว่ำนะ สิ่งนี้คือปัญญาญาณ อาสวักขยญาณที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ่งนี้ใช้ขึ้นมา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเทศนาว่าการนะ ยสะ ปัญจวัคคีย์ ตรัสรู้เร็ว ตรัสรู้เร็ว เพราะธรรม เพราะวาสนา เพราะบารมีสิ่งนั้นเกิดขึ้น แต่สาวกะ เราสาวก-สาวกะ เวไนยสัตว์สิ่งที่ต้องถูต้องไถ สิ่งที่ต้องถูต้องไถก็มีอำนาจวาสนาน่ะ เพราะจะทำให้กิเลสนี้ออกหลุดออกไปจากใจน่ะ ถ้ากิเลสทำลายออกไปจากใจทั้งหมด แม้แต่โพธิก็เป็นเรื่องของโลก ปัญญาที่ถือเป็นโพธิที่เป็นปัญญาของโลกมันเข้าไปทำลายกันนะ

เวลาทำลายถึงสุด วิชชาทำลายอวิชชาออกไปจากใจ สิ่งนี้เป็นสมบัติของโลกทั้งหมด นี่สิ่งที่เป็นสมมุติจะต้องทำลายกันทั้งหมด ออกจากสมมุติไปแล้วเป็นวิมุตติออกไปจากใจ ใจพ้นออกไปจากวิมุตติ ต้นโพธิ์ที่เป็นเรืองแสง ต้นโพธิ์ที่ไม่มีต้นของมันจะเป็นสิ่งที่อยู่กับใจดวงนั้นตลอดไป นี่จิตเที่ยงเที่ยงอย่างนั้นไง สิ่งที่เป็นความสุข เป็นความมหัศจรรย์ของใจดวงนี้มันจะเที่ยงสภาวะแบบนั้น นั้นเป็นความสุขของใจดวงนั้น

จากที่เราก้าวเดินนะ ต้นอ่อนเราก็ต้องปลูกนะ ปลูกโพธิ์ของเราขึ้นมา ถ้าเราปลูกโพธิ์ได้ เราจะเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะเป็นสาวก-สาวกะไง พุทธชิโนรสเป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ นะ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ให้หัวใจนี้เป็นธรรม เพราะสิ่งนี้มันจะเป็นความจริงหัวใจที่เป็นธรรมนี่ธรรมจริงๆ

แต่ถ้าเราไปยึดเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทับสิทธิ์อย่างนั้น นั่นเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นสัญญา มันเป็นความจำ มันเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันก็ปฏิบัติไปทับสิทธิ์ ทับสิทธิ์แล้วเราจะไม่ได้สิทธิ์ แต่ถ้าเราทำของเราแล้วจะเป็นความเห็นของเรา แล้วจะเป็นความจริงของเรา แล้วจะเป็นเกิดขึ้นจากใจดวงนั้น

ศาสนาเจริญ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาอย่างนี้มาก เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลามีชีวิตดำรงชีวิตอยู่จะพยายามชี้เข้าไปผู้ที่ประพฤติปฏิบัติคอยแก้ไขอย่างนี้ตลอดมา

ครูบาอาจารย์ของเราก็เหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติเอาชีวิตนี้แลกมานะ เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเอาความตายเข้ามาขวางหน้าเพื่อจะไม่ให้เราทำ เวลาเราทำขึ้นมานี่ความตายมันหลอกกันทั้งนั้นน่ะ ถึงเวลาถึงที่สุดเรารู้กำลังของเรา เราเอาชีวิตของเรารอดได้ แต่ขณะที่ว่ากิเลสมันหลอกนี่เราจะอ่อนด้อย เราจะล้มลุกคลุกคลานแล้วเราจะไม่สู้ ฉะนั้นถึงว่าครูบาอาจารย์คอยชี้นำ แล้วเรามีความจริงของเรา แล้วเราจะปลูกโพธิ์ขึ้นมาในหัวใจของเรา เอวัง